วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2559

หลักฐานพุทธลักษณะ"ธรรมกาย" จากหนังสือสวดมนต์



  จากหนังสือสวดมนต์แปลฉบับหอ-พระสมุดวชิรญาณ  ต้นฉบับมีมาก่อน ร.ศ.๑๒๗ ยังไม่พบว่ามีการแปลครั้งแรกเมื่อใด แต่ฉบับนี้ เป็นฉบับชำระใหม่ โดยหอพระสมุดวชิรญาณ  พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาไลย  รัชกาลที่ ๒ มีพระ-ราชโองการดำรัสสั่งให้แปลชำระถวาย  โดยพระธรรมปรีชาเป็นผู้แปล  ได้ปรึกษาการแปลกับสมเด็จพระสังฆ-ราชองค์ที่ ๑ ของกรุงรัตนโกสินทร์ คือ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี)  นับเป็นการสังคายนาบทสวดมนต์ ครั้งสำคัญ  โดยจัดการสังคายนา ในราวปีมะโรง โทศก จุลศักราช ๑๑๘๒  เป็นการแปลธรรมทั้งเจ็ดคัมภีร์ตามพระบาลีย่อ  มีบทที่สำคัญดังนี้ คือ ในทวาทส ปริตร บทรตนสูตร หน้า ๑๒-๒๐ เป็น บทที่กล่าวถึงว่า พระรัตนตรัยอันประกอบด้วยพระพุทธเจ้าที่เป็นแก้ว พระธรรมเจ้าที่เป็นแก้ว และพระสงฆ์เจ้าที่เป็นแก้ว รวมเป็นแก้ว ๓ ดวง คือ พุทฺเธ รตนํ อันว่าแก้วคือพระพุทธเจ้า ธัมเม รตนํ อันว่าแก้วคือพระธรรม และสังเฆ รตนํ อันว่าแก้วคือหมู่แห่งพระสงฆ์ และในปกิณณกคาถา บทธัมมกายานุสสติกถาหน้า ๒๕๕  ถึง ๒๖๑ เป็นบทสวดมนต์ที่บรรยายถึงพุทธลักษณะของพระธรรมกายของพระพุทธเจ้าความว่า

             ...อันว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารุ่งเรืองยิ่งนักกว่าเทพยดาแลมนุษย์ทั้งหลายด้วยพระธรรมกายอันพระพุทธองค์ตรัสเรียกชื่อว่า ธรรม-กายแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย อันว่าพระญาณที่จัดเปนพระ-เศียรเปนต้นนี้ เปนพระพุทธญาณอันพระพุทธองค์เปรียบเทียบด้วยพุทธลักษณแล้ว แลตรัสเทศนาโดยนามบัญญัติชื่อว่าธรรมกาย   เปนที่นำสัตวออกจากโลก อันโยคาวจรกุลบุตรเมื่อปรารถนาซึ่งภาวะแห่งตนเปนสัพพัญญูพุทธเจ้าพึงรฦกเนืองๆ...

            (ดูรายละเอียดบทสวดมนต์ฉบับสมบูรณ์ที่ภาคผนวก หน้า     ผ๑๙๕-ผ๒๑๔)

กัณฑ์ที่ ๑



 พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ
พระครูสมณธรรมสมาทาน
(หลวงพ่อวัดปากนํ้า  ภาษีเจริญ)
๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๘๘ 
ถึง ๓ มีนาคม พ.ศ.๒๔๘๙

            นโม  ตสฺส  ภควโต  อรหโต  สมฺมา  สมฺพุทฺธสฺส

            อิติปิ  โส  ภควา  ฯลฯ  พุทฺโธ  ภควาติ

            ณ บัดนี้  จะได้แสดงธรรมิกถา  ว่าด้วยพระพุทธคุณ  พระธรรมคุณ  พระสังฆคุณ เพื่อประดับสติปัญญาและปสาทะ แห่งท่านสัปปุรุษพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย  ผู้มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา จักแสดงตามลำดับพระบาลีที่ยกขึ้นไว้ข้างต้น เริ่มแต่คำว่า อิติปิโส   ภควา ไปจนจบ แต่การแสดงจะหนักไปในทางปฏิบัติ เพื่อมุ่งประโยชน์แก่ผู้ปฏิบัติเป็นส่วนใหญ่

            คำว่า คุณ ในที่นี้  หมายความว่ากระไร เมื่อพิเคราะห์ดูตามถ้อยคำในบาลีนี้แล้ว  หมายความว่า ความดี ความงาม ที่ควรเทิดทูนเคารพบูชา ความดี ความงามของพระพุทธเจ้า ๙ ประการ ของ  พระธรรม  ๖ ประการ ของอริยสงฆ์ ๙ ประการ ตามที่ปรากฏในพระ-บาลีนี้   จักได้แสดงแต่ละประการเป็นลำดับไป เริ่มต้นพระพุทธคุณก่อน   ซึ่งตั้งต้นด้วยคำว่า  อรหํ  ตลอดจนจบสังฆคุณ

            สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา  ที่มีพระเกียรติคุณเฟื่องฟู   จนเป็นที่เคารพสักการะของมวลเทวดา อินทร์ พรหม และมนุษย์  มาจนตราบเท่าทุกวันนี้  มิใช่เพราะเหตุที่พระองค์เป็นกษัตริย์ แต่เป็นเพราะเหตุอื่น  เหตุอื่นคืออะไร ก็คือเหตุที่พระองค์สละราชสมบัติออก บรรพชา ประกอบพระมหาวิริยะ ความเพียรอันแรงกล้า จนได้บรรลุพระโพธิญาณ ณ ควงไม้พระศรีมหาโพธิ์  เมื่อวันวิสาขปุรณมีเพ็ญเดือน ๖ นั้นเอง พระองค์ได้ตรัสรู้เญยยธรรมทั้งปวงในเวลารุ่งอรุณวันนั้น  คุณงามความดีของพระองค์ได้บังเกิดขึ้นในพระองค์ตั้งแต่วันนั้นเป็นลำดับมา  จนตราบเข้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานรวมเป็น ๙ ประการด้วยกัน

 
            อรหํ เป็นพระคุณข้อต้น มีนัยดังจะแสดงต่อไปนี้


            อรหํ  เป็นเนมิตกนาม  เกิดขึ้นเอง พร้อมกับที่พระองค์บรรลุพระ-โพธิญาณ ยกตัวอย่างเทียบเคียงคล้ายกับชื่อพระราชกุมารีของพระเจ้าปัสเสนทิโกศล ชื่อว่า"มัลลิกา  กล่าวคือว่า วันที่พระนางเธอประสูตินั้นมีดอกมะลิร่วงลงมาจากอากาศในเวลาเกิด พระราชบิดาและพระประยูรญาติ  ถือเอานิมิตดอกมะลินั้นขนานนามธิดาองค์นั้นว่า"มัลลิกา  ซึ่งแปลว่าพระนางมะลิ

            อรหํ เป็นคำที่พวกเราปฏิบัติธรรมเชิดชูกันนักหนา  ถึงแก่ได้นำมาใช้เป็นบทบริกรรมภาวนา  ในเมื่อนั่งสมาธิ  ฉะนั้น จึงขอนำมาแปลไว้ในที่นี้  เพื่อได้ซาบซึ้งถึงพระคุณนามข้อนี้ไว้บ้าง แต่การจะพรรณนาให้สิ้นสุดได้  เมื่อคิดเทียบแล้วก็เท่ากับอากาศในปีกนกกล่าวคือบรรดาอากาศทั้งหลายในสากลโลก มีมากสุดที่จะคณนา แต่คิดเฉพาะอากาศเท่าที่ปีกนกกระพือขณะที่บินหนหนึ่ง จะมีอากาศอยู่ในระหว่างปีกนกนิดเดียวในจำนวนอากาศทั้งหลาย นี่ฉันใดก็ฉันนั้น

            อรหํ แปลสั้นๆ ว่าไกล ว่าควร เป็นสองนัยอยู่"ไกล   หมายความว่า  ไกลจากกิเลสหรือพ้นจากกิเลสเสียแล้ว  ไกล, ตรงกันข้ามกับปุถุชนคนเรา ซึ่งยังอยู่ใกล้ชิดกิเลส  พระองค์บริสุทธิ์ผุดผ่องดังแท่งทองชมพูนุช  หรืออีกอย่างหนึ่งว่าใสเหมือนดวงแก้วอันหาค่ามิได้  สมคำที่ว่าพุทธรัตนะ ประกอบด้วย ตาทิโน เป็นผู้คงที่ไม่หวั่นไหว หากจะมีของหอมมาชโลมไล้พระวรกายซีกหนึ่ง  และเอาของเหม็นมา   ชะโลมซีกหนึ่ง พระหฤทัยของพระองค์ก็ไม่แปรผันยินดียินร้ายประการใด และเปรียบได้อีกสถานหนึ่งว่า  อินฺทขีลูปโม พระทัยมั่นคงดั่งเสาเขื่อน ถึงจะมีพายุมาแต่จาตุรทิศก็ไม่คลอน เมื่อเช่นนี้จึงมีนัยที่แปลได้อีกอย่างหนึ่งว่าเป็นผู้ควร คือเป็นผู้ที่เราสมควรจะเทิดจะบูชาไว้เหนือสิ่งอื่นทั้งหมด อรหํ เป็นนามเหตุ พระคุณนามนอกนั้นเป็นนามผล

            ว่าในด้านภาวนา กายนี้มีซ้อนกันเป็นชั้นๆ มีกายทิพย์ซ้อนอยู่ในกายมนุษย์ กายรูปพรหม ซ้อนอยู่ในกายทิพย์ กายอรูปพรหมซ้อนอยู่ในกายรูปพรหม กายธรรมซ้อนอยู่ในกายอรูปพรหม คนเราที่ว่าตายนั้น คือ กายทิพย์กับกายมนุษย์หลุดพรากออกจากกัน เหมือนมะขามกะเทาะล่อนออกจากเปลือกฉะนั้น กายทิพย์ก็หลุดจากกายมนุษย์ไป

            การละกิเลสของพระองค์หลุดไปเป็นชั้นๆ ตั้งแต่กิเลสในกายมนุษย์  กายทิพย์  กายรูปพรหม กายอรูปพรหม เป็นลำดับไป  กิเลสในกาย-มนุษย์คือ  อภิชฌา พยาบาท มิจฉาทิฏฐิ  กิเลสในกายทิพย์ คือ  โลภะ  โทสะ โมหะ กิเลสในกายรูปพรหม คือ ราคะ โทสะ โมหะ  กิเลสในกายอรูปพรหมคือ กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย อวิชชานุสัย  ต่อแต่นี้ไปจึงชักเข้าถึงกายหนึ่ง คือกายธรรมหรือเรียกว่า ธรรมกาย  เข้าชั้นโคตรภูจิต  เรียกว่า โคตรภูบุคคลๆนี้ เดินสมาบัติเพ่งอริยสัจสี่เป็นอนุโลมปฏิโลม  จนหลุดพ้นจากกิเลสพวก  สักกายทิฏฐิ   วิจิกิจฉา  สีลัพพตปรามาสแล้ว ตกศูนย์วับกลับเป็นพระโสดาบัน  เป็นอันว่าพระ-โสดาบันละกิเลสได้ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ  วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส  แล้วกายโสดาบันนี้ เดินสมาบัติเพ่งอริยสัจสี่เป็นอนุโลม ปฏิโลม ต่อไปถึงขีดสุดละกิเลสได้อีก ๒ คือ กามราคะ พยาบาท  ชั้นหยาบ จึงเลื่อนชั้นขึ้นเป็นสกิทาคามี กายสกิทาคามีเดินสมาบัติเพ่งอริยสัจสี่ทำนองเดียวกันนั้นต่อไปถึงขีดสุดละกิเลสได้อีก ๒ คือ กามราคะ พยาบาท คั่นละเอียด จึงเลื่อนชั้นเป็นพระอนาคามีแล้ว กายพระอนาคามี เดินสมาบัติ เพ่งอริยสัจสี่ทำนองเดียวกันนั้นต่อไป ถึงขีดสุดละกิเลสได้อีก ๕ คือ รูปราคะ  อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา จึงเลื่อนขึ้นจากพระอนาคามี  เป็นพระอรหันต์  จิตของพระองค์บริสุทธิ์ผุดผ่อง  ปราศจากกิเลสทั้งมวล  จึงได้พระเนมิตกนามว่า  อรหํ  (จะกล่าวละเอียดในตอนสังฆคุณ)

            เหตุที่ทำให้พระองค์เป็น อรหํ นั้น สรุปโดยย่อก็ได้แก่การที่พระองค์บำเพ็ญสมาธิเจริญวิปัสสนา  ด้วยพระมหาปธานะวิริยะอันแรงกล้า ณ โคนไม้พระศรีมหาโพธิ์ในวันวิสาขปุรณมีนั้นโดยความเด็ดเดี่ยว ตั้งพระหฤทัยอธิษฐานว่า แม้เนื้อและเลือดในพระสรีระของพระองค์จะเหือดแห้งเหลือแต่เส้น เอ็น หนัง และกระดูกก็ตามทีเถิด หากไม่ได้บรรลุพระสัมโพธิญาณ ตราบใด พระองค์จะไม่ยอมลุกจากที่นั้นเป็นอันขาด แล้วพระองค์ก็ทรงนั่งสมาธิรุดไปด้วยน้ำพระทัยอันเด็ดเดี่ยว ในที่สุดก็ได้บรรลุพระสัมโพธิญาณ สมดั่งพระประสงค์  ในราตรีกาลแห่งวันวิสาขปุรณมีนั้นเอง ยามต้นทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณ  ความหยั่งรู้ระลึกชาติหลังได้ ยามที่ ๒ ทรงบรรลุจุตูปปาตญาณ  ความ หยั่งรู้ถึงความจุติและความเกิด ยามที่ ๓ ทรงบรรลุอาสวักขยญาณ  ความหยั่งรู้ที่กำจัดอาสวะกิเลสที่หมักหมมอยู่ในจิตให้หมดสิ้นไป   ทรงรู้เห็นแจ่มแจ้งหมด เห็นจริงๆ เห็นด้วยตาของธรรมกาย ไม่ใช่เห็นด้วยตามนุษย์ หรือคิดคาดคะเนเอา เห็นตลอดทั่วโลกมนุษย์ โลกสวรรค์ โลกนรก เพราะพระองค์ได้ผ่านพ้นโลก เสด็จออกสู่แดนพระนิพพานแล้ว จึงเห็นได้ทั่วถ้วนโดยมิสงสัย


            สัมมาสัมพุทโธ


            สัมมา สัมพุทโธ แปลตามศัพท์ว่า  ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง โดยชอบ หรือนัยหนึ่งว่า ตรัสรู้เองโดยถูกต้อง  หรือพูดให้สั้นก็ว่า  รู้ถูกเอง  เพื่อให้ใกล้กับภาษาสามัญที่ใช้กันว่า  รู้ผิดรู้ถูก ได้แก่คำที่พูดติเตียนคนที่ทำอะไรผิดพลาดไปว่า  เป็นคนไม่รู้ถูกรู้ผิด  ทำไปอย่างโง่ๆ ดังนี้เป็นต้น  แต่แท้จริง พุทโธ คำนี้เมื่อพิเคราะห์ให้ลึกซึ้งลงไปตามรูปศัพท์แล้ว  มีความหมายลึกซึ้งมาก ต่างกันไกลกับคำว่า ชานะ หรือวิชานะ  ซึ่งแปลว่ารู้แจ้งนั้น  ดังนั้น  พุทโธ  จึงได้แปลกันว่า ตรัสรู้  ไม่ใช่รู้เฉยๆ เติมคำว่าตรัสนำหน้ารู้  ซึ่งสะกิดให้สนใจว่ารู้  กับตรัสรู้ ๒ คำนี้  มีความหมายลึกตื้นกว่ากันแน่โดยมิสงสัย  เมื่อระลึกถึงพระบาลีในธรรมจักรกัปปวัตนสูตรที่ว่า "จักขุํ  อุทปาทิ  ญาณํ  อุทปาทิ  ปญฺา  อุทปาทิ  วิชฺชา อุทปาทิ  อาโลโก  อุทปาทิ  ฯ   จึงทำให้แลเห็นความว่า คุณวิเศษ ทั้ง ๕ อย่าง ดังบาลีที่ยกขึ้นกล่าวนี้ จะเป็นความหมายแห่งคำว่า  พุทโธ กล่าวคือ  จักขุํ ญาณํ  ปญฺญา วิชฺชา  อาโลโก  ทั้ง  ๕ อย่างนี้ประมวลเข้าด้วยกัน รวมเป็นคำแปลของคำว่า  พุทโธ  หรือจะแปลให้สั้นเข้าอีก คำว่า พุทโธ ก็ยังต้องแปลว่า  ทั้งรู้  ทั้งเห็น ไม่ใช่รู้เฉยๆ อาศัยคำว่า จักขุํ ญาณํ  ในบาลีที่ยกขึ้นมากล่าวนั้น  เป็นเครื่องประกอบ ยิ่งกว่านั้นยังมีคำว่า ชานตา ปสฺสตา ฯ ในมหาสติปัฏฐานสูตรอยู่อีก ซึ่งเป็นเหตุสนับสนุนว่า ที่ว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้น ไม่ใช่รู้เฉยๆ เป็นทั้งรู้ทั้งเห็น  ที่ว่าเห็นนั้น หมายความว่าเห็นอย่างตาเราเห็นอะไรจริงๆ แต่พระองค์เห็นด้วยตาธรรมกาย และการที่พระองค์เห็นนี้  โดยมิได้มีผู้ใดสอนให้รู้สอนให้เห็น รู้เห็นโดยลำพังพระองค์เอง และสิ่งทั้งหลายที่พระองค์รู้เห็นนั้น ตรงตามความเป็นจริงทั้งนั้นมิใช่คาดคะเนหรืออนุมานเอา จึงเป็นองค์สัมมาสัมพุทโธพระผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ   หรือนัยหนึ่งว่าโดยถูกต้องตรงตามความเป็นจริงทุกประการ จึงได้ชื่อว่า ตรัสรู้  ยังมีคำว่า  สัม  นำหน้า  พุทธ เติมเข้ามาอีกคำหนึ่ง  ซึ่งแปลว่า  ด้วยพระองค์เอง คือไม่ต้องมีผู้สั่งสอน พระองค์ทำอย่างไร จึงตรัสรู้ด้วยพระองค์เองเช่นนั้น  ข้อนี้ตอบไม่ยาก พระองค์ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองได้  ก็เพราะความเป็น  อรหํ ของพระองค์  ดังกล่าวมาข้างต้นแล้วนั่นเอง คือ เมื่ออำนาจสมาธิทำให้จิตของพระองค์หลุดพ้นจากอาสวะแล้ว  จิตของพระองค์ก็ใสยิ่ง  หยุด  และบริสุทธิ์ผุดผ่อง  เพราะหยุดนิ่งนั่นเอง จึงมีสิ่งหนึ่งผุดขึ้นในนิ่ง ทำให้รู้ พระองค์ก็รู้ตามนั้นไป น้ำขุ่นแม้อิฐสักก้อนหนึ่งอยู่ก้นโอ่ง เราก็มองไม่เห็น แต่ถ้าน้ำนั้นนอนใสบริสุทธิ์แล้ว  แม้แต่เข็มอยู่ก้นโอ่งเราก็เห็น  ฉันใดก็ฉันนั้น

            ยังมีคำว่า  สัมมา  นำหน้า  สัมพุทโธ อีกคำหนึ่ง  คำว่า  สัมมา  แปลว่า โดยชอบ  หรือโดยถูกต้อง พระองค์ตรัสอะไร มีเหตุผลยันกันได้เสมอ  จึงได้ชื่อว่าถูกต้อง เพราะการพูดอะไรไม่มีเหตุผลรับสมหรือยันกันได้แล้ว ตามหลักธรรมดาเรียกว่าไม่ถูก ต้องมีเหตุผลรับสมกันจึงจะนับว่า ถูกพระสัทธรรมคำสอนของพระองค์ มีเหตุผลรับสมกันอยู่เสมอ ไม่คลาดเคลื่อน จึงสมควรแล้วที่ได้พระเนมิตกนามว่า สัมมาสัมพุทโธ

            พระพุทธวจนะ  ที่ควรนำมาสาธกในที่นี้  ว่าแต่โดยสั้นๆ ก็ว่า  พระองค์ตรัสรู้เหตุ ตรัสรู้ผล ไม่ใช่รู้แต่เหตุหรือรู้แต่ผล พระองค์ตรัสรู้ทั้งเหตุตรัสรู้ทั้งผลที่ว่านี้คืออะไร เหตุสุข เหตุทุกข์ เหตุไม่สุขไม่ทุกข์หรือเรียกว่าอัพยากฤต  คือ  สภาพเป็นกลางๆ  ทั้ง ๓ อย่างนี้  เป็นรากฐานแห่งการตรัสรู้ของพระองค์  กล่าวคือ  สุข  พระองค์ไม่ทรงรู้แต่สุขเฉยๆ  ตรัสรู้ลึกซึ้งเข้าไปถึง  ว่าอะไรเป็นเหตุให้เกิดสุขด้วย  และอีก ๒ ประการนั้นก็เช่นเดียวกัน  รู้ทั้งเหตุ  รู้ทั้งผล คู่กันไป  เป็นต้นว่าสุขเป็นผล  คือความสบายกายสบายใจ  อะไรเล่า  เป็นเหตุที่ให้เกิดผล  คือ  สุขดังกล่าวนั้น  พระองค์ตรัสไว้ว่า  อโลภะ  อโทสะ  อโมหะ  ไม่โลภ  ไม่โกรธ  ไม่หลง  (แปลอย่างย่อที่สุด)  ๓ ประการนี้แหละเป็นเหตุ  ดังมีบาลีเป็นที่ยืนยันว่า  กุสลาธรรมา  อกุสลาธรรมา  อพยากตาธรรมา เป็นอาทิ โลภ โกรธ หลง เป็นฝ่ายอกุศล ตรัสว่าเป็นเหตุแห่งทุกข์  เราปุถุชนมักรู้กันแต่ผล สาวหาเหตุไม่ใคร่ถึง  เช่นคนทำโจรกรรมแล้วไปต้องโทษ  อย่างมากก็รู้กันทั่วไปมักอยู่ในคั่นหยาบๆ ว่า ผลที่ต้องได้รับทุกข์ คือการต้องโทษนั้น เนื่องมาจากโจรกรรม  แต่แท้จริงเหตุเท่านั้นยังไม่พอต้องสาวเข้าไปอีก ทำไมเขาจึงทำโจรกรรม ก็จะได้ความว่าเพราะ โลภะ เป็นมูลเหตุ แต่ก็ยังไม่พอเมื่อสาวเข้าไปอีกว่า ทำไมโลภะจึงครอบงำเขาได้  ก็จะได้ความว่าจิตใจของเขาสกปรก ทำไมจิตใจของเขาจึงสกปรก จึงได้เหตุว่าเพราะเขาไม่ประพฤติตามโอวาทพระบรมศาสดา อย่างน้อยก็เป็นคนทุศีลอทินนาทานขาดไปเสียองค์หนึ่งแล้ว เหตุใดเขาจึงเป็นคนทุศีลก็จะได้ความว่า  เขาไม่รู้เรื่องศีล  หรือรู้แล้วไม่นำพา ทำไมจึงไม่รู้เรื่องศีล ก็อาจเป็นเพราะเหตุที่เขาไม่เคยอ่านหนังสือทางพระพุทธศาสนา หรือสดับตรับฟังพระธรรมเทศนา ฯลฯ ดังนี้เป็นต้น  พระองค์ทรงสอนไว้ละเอียดถี่ถ้วนว่า ให้รู้เท่าถึงเหตุผล รู้ว่าผลนี้เกิดจากเหตุใด พระองค์มีแนวสอนให้ปฏิบัติเพื่อละเหตุที่ให้เกิดทุกข์  บำเพ็ญเหตุที่ให้เกิดสุข  ตลอดจนวิถีทางดับเหตุทั้งปวงซึ่งเรียกว่า นิโรธ

            เพื่อรับสนองข้อความดังกล่าวมา ก็มีถ้อยคำของพระอัสสชิเถระ  เป็นหลักฐาน  สนองรับรองพระพุทธวจนะดังกล่าวมา คือภายหลังแต่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ พระอัสสชิเถระซึ่งเป็นพระสาวก  ไปประกาศพระศาสนา ไปพบกับอุปติสปริพาชกๆ ตั้งกระทู้ถามกันสั้นๆ ถึงเรื่องพระศาสดาว่าทรงสั่งสอนอย่างไร พระอัสสชิได้ตอบว่า ทรงสอนถึงเหตุและวิถีทางที่จะดับเหตุเหล่านั้น ดังพระบาลีว่า เย ธมฺมา         เหตุปพฺพวา เตสํ เหตุํ ตถาคโต  ฯลฯ หรือพูดอย่างสั้น  อีกนัยหนึ่งว่า  พระองค์สอนให้รู้ว่าอะไรชั่ว  อะไรดี  อะไรเป็นเหตุของความชั่ว  อะไรเป็นเหตุของความดี โลภะ โทสะ โมหะ เป็นเหตุแห่งความชั่วหรือความเสื่อม  อโลภะ  อโทสะ  อโมหะ  เป็นเหตุแห่งความดี  หรือความเจริญ  ทรงสอนว่า  ก่อนจะพูด คิด หรือทำสิ่งใด จงมีสติ หรือที่เรียกว่าใช้ความคิดให้รอบคอบเสียก่อนจึงพูด จึงคิด จึงทำการนั้นๆ แลว่าโดยเฉพาะจงระวังเรื่อง  โลภะ โทสะ โมหะ นั้นไว้อย่าให้เข้าครอบงำได้ในเมื่อจะทำ พูด คิดการสิ่งใด พระองค์ทรงสอนไว้ในทางปรมัตถ์ว่า  ธรรมดาจิตนั้นใสบริสุทธิ์อยู่เสมอ  ซึ่งหมายความว่า  จิตที่ไม่มีกิเลสผสม  ส่วนพวกกิเลส  เช่น  โลภะ ฯ เรียกว่าเป็นของจรมา  เมื่อมาพ้องพานจิต  ก็ย้อมจิตให้เป็นตามสภาพอันชั่วช้าของกิเลสนั้นๆ จิตระคนด้วยราคะหรือโลภะ  มีสีแดงระคนด้วย โทสะ  สีดำ  ระคนด้วย โมหะ  ขุ่นเหมือนตม หรือน้ำล้างเนื้อ  สิ่งเหล่านี้พระองค์ใช้ตาธรรมกายมองเห็นจริงๆ  พวกเราเหล่าศาสนิกชนเมื่อเรียนภาวนาเพ่งถึงขนาด จะเห็นจริงด้วยตนเองการปฏิบัติกิจทางภาวนานั้นก็คือ พยายามกลั่นเอากิเลสออกเสียจากจิต ให้จิตใจบริสุทธิ์  อันได้ชื่อว่ากิริยาจิตๆ เช่นนี้ เป็นอัพยากฤตแล้ว ต่อนั้นไปจะเป็นจิตที่ควรแก่การทุกอย่าง

            พระธรรมเทศนาของพระองค์  เมื่อตอนตรัสรู้ใหม่ๆ หนักไปในทางแสดงเหตุ  และการดับเหตุ หรือที่เรียกว่า สมุทัย กับ นิโรธ  ดังเช่นในการให้พิจารณาเรื่องสังขาร  ในด้านสมุทัย  ว่าอวิชชา  ปัจจยา  สังขารา และในด้านนิโรธว่า อวิชชาตะเววะ อเสสวิราคนิโรธา  เป็นปัจจัยให้เกิดสังขารๆ เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณๆ เป็นปัจจัยให้เกิดนามรูปๆ เป็นปัจจัยให้เกิดอายตนะ ๖ๆ เป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะๆ เป็นปัจจัยให้เกิดเวทนาๆ เป็นปัจจัยให้เกิดตัณหาๆเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทานๆ เป็นปัจจัยให้เกิดภพๆ เป็นปัจจัยให้เกิดชาติๆ เป็นปัจจัยให้มีความแก่  ความตาย  และความเศร้าโศกต่างๆ  สิ่งเหล่านี้จะดับได้ก็เพราะดับชาติๆ ดับได้ก็เพราะดับภพๆ จะดับได้  ก็เพราะอุปาทานดับ  อุปาทานจะดับได้ เพราะตัณหาดับ  ตัณหาจะดับได้ก็เพราะเวทนาดับ เวทนาจะดับได้เพราะผัสสะดับ  ผัสสะจะดับได้ ก็ต่อเมื่ออายตนะดับ  อายตนะจะดับได้  ต่อเมื่อนามรูปดับ นามรูปจะดับได้ต่อเมื่อวิญญาณดับ วิญญาณจะดับได้ต่อเมื่อสังขารดับ  สังขารจะดับลงก็เพราะอวิชชาดับ  เหตุผลเกิดดับเกี่ยวข้องกันเป็นลูกโซ่เช่นนี้  เรียกว่าปัจจยา การที่พระองค์ได้รู้แจ้งแทงตลอดในวันตรัสรู้นั้นทั้งสิ้น พิจารณาตามลำดับดังที่ยกขึ้นกล่าวมา     ข้างต้น  เมื่อย่นให้ได้ความเข้าใจอันจะเป็นผลในทางปฏิบัติแล้ว ก็มีตัวสำคัญอันเดียว คือ อวิชชา เป็นมูลรากฝ่ายเกิด  หรือที่เรียกว่าสมุทัย  และในทางดับ  หรือที่เรียกว่า นิโรธ  ก็ทำนองเดียวกัน อวิชชาเท่านั้นเป็นตัวการสำคัญ ถ้าดับอวิชชาได้อย่างเดียว อื่นๆ ดับเรียบหมด  เพราะอวิชชาเหมือนต้นไฟ แต่ถ้ายังดับอวิชชาไม่ได้แล้ว ก็ไม่มีหวังว่าอย่างอื่นจะดับได้ ที่หมายสำคัญในคำสอนของพระองค์จึงอยู่ที่ว่าให้ผู้ปฏิบัติเพียรหาทางกำจัดอวิชชาเสีย จึงจะพ้นจากห้วงลึก คือวัฏฏสงสารได้

อเนกชาติ  สํสารํ  ฯ ล ฯ


            ในขณะเมื่อแสงทองเรื่อเรืองแข่งแสงเงินขึ้นมายังขอบฟ้าเบื้องบูรพา  อันเป็นสัญญาณว่าดวงอาทิตย์เตรียมทำหน้าที่จะส่องโลกอยู่แล้ว   เป็นเวลาที่อากาศยะเยือกเย็นสดชื่น  ส่งใจเราหวนไประลึกถึงเวลารุ่งอรุณแห่งวันเพ็ญวิสาขมาส อันเป็นวันที่พระบรมโลกนาถอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณนั้น เราจะแลเห็นโอภาสรัศมีอันรุ่งโรจน์ยิ่งกว่าแสงทองนั้นร้อยเท่าพันทวี ช่วงโชติอยู่ภายใต้โพธิ์พฤกษ์อันมหาศาล  ใบเขียวชอุ่มรับกับรัศมีอันเหลืองอร่ามอยู่ภายใต้นั้น  ในใจกลางแห่งรัศมีอันช่วงโชติชัชวาลอยู่นั้น  มิใช่อื่นไกล  คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ประทับพริ้มอยู่ด้วยพระ-อาการชื่นบานพระหฤทัย ที่ได้เสวยวิมุตติสุข  อันเป็นผลแห่งการที่พระองค์ได้ทรงประกอบพระมหาประธานวิริยะมาเป็นเวลาช้านาน จึงได้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ  สมดังพระหฤทัยประสงค์  พระองค์จึงทรงเปล่งพระอุทานเย้ยตัณหาว่า อเนกชาติ  สํสารํ ดังที่ได้ยกขึ้นกล่าวไว้ข้างต้นนั้น  ซึ่งแปลใจความเป็นสยามภาษาว่า"เราสืบเสาะหาตัวช่างไม้ผู้สร้างปราสาทมานานแล้ว  เมื่อเรายังหาไม่พบ เราต้องท่องเที่ยวอยู่ในสงสาร เวียนตายเวียนเกิดอยู่แทบจะนับชาติไม่ถ้วน การเกิดนำความทุกข์มาให้เราแล้วๆ เล่าๆ ไม่รู้จักจบจักสิ้น นี่แน่ะ ท่านนายช่างไม้กล่าวคือตัณหา บัดนี้เราเจอะตัวท่านแล้วละ ท่านหมดโอกาสที่จะมาสร้างปราสาท คือ อัตภาพร่างกายเราต่อไปได้อีกแล้วกระดูกซี่โครงท่าน กล่าวคือกิเลสเราหักเสียกรอบหมดแล้ว มิหนำซ้ำยอดปราสาท กล่าวคือ อวิชชา เราก็รื้อทำลายหมดสิ้นแล้ว จิตของเราปราศจากเครื่องปรุงแต่งแล้ว เราถึงความสิ้นไปแห่งตัณหาแล้ว   พระ-อุทานนั้นมีข้อความเป็นบุคลาธิษฐานสั้นๆ แต่มีอรรถรสลึกซึ้งน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ที่แปล คหกูฏํ ว่ายอดปราสาท ก็เพื่อความเหมาะสมที่พระ-องค์เป็นกษัตริย์เพราะบ้านเรือนของพระมหากษัตริย์นั้น เรียกกันว่า ปราสาทราชฐาน  พระอุทานนั้นมีข้อความชัดเจนแล้วมิจำต้องอธิบาย

วิชชาจรณสัมปันโน 

            คำว่าวิชชาจรณสัมปันโน  แปลว่า พระองค์ถึงพร้อมด้วยวิชชา และจรณะ  คุณวิเศษของพระองค์ในที่นี้  แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท  คือ ๑.วิชชา  ๒.จรณะ  อะไรเรียกว่าวิชชา  วิชชาในที่นี้หมายเอาความรู้ที่กำจัดมืดเสียได้  มืดคืออะไร  ในที่นี้หมายเอาขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ  ตรงกันข้ามกับอวิชชา  ที่แปลว่าไม่รู้  คือ  ไม่รู้ถูกหรือผิด  เพราะว่าเข้าไปยึดมั่นในขันธ์ ๕  ว่าเป็นตัวเป็นตน  จึงมืดมนไม่รู้ไม่เห็นของจริง คือนิพพาน ข้อสำคัญอยู่ที่อุปาทาน ซึ่งแปลว่ายึดมั่น คือยึดมั่นในขันธ์ ๕ ถ้ายังตัดอุปาทานไม่ได้ตราบใด ก็คงมืดตื้ออยู่อย่างนั้น ตัดอุปาทานได้ มีนิพพานเป็นที่ไปในเบื้องหน้า  หรือพูดให้ฟังง่ายกว่านี้  ก็ว่าเมื่อตัดอุปาทานเสียได้ จะมองเห็นนิพพานอยู่ข้างหน้า อวิชชาที่แปลว่าไม่รู้นั้น ได้แก่ไม่รู้อดีต ปัจจุบัน  อนาคตของสังขาร  ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท  และอริยสัจจะ

            ขันธ์ ๕ เป็นชื่อของอุปาทาน  ถ้าปล่อยขันธ์ ๕ หรือวางขันธ์ ๕ ไม่ได้  ก็พ้นจากภพไม่ได้  คงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในกามภพ  รูปภพ  อรูปภพ  นี้เอง  มืดมน วนอยู่ในที่มืด คือโลกนี้เอง  ได้ในคำว่า  อนฺธ-ภูโต  อยํ โลโก  ซึ่งแปลว่า  โลกนี่น่ะมืด  ผู้แสวงหาโมกขธรรม  ถ้ายังติดขันธ์ ๕ อยู่แล้ว ยังจะพบโมกขธรรมไม่ได้เป็นอันขาด กายมนุษย์  กายทิพย์  กายรูปพรหม  อรูปพรหม  เหล่านี้อยู่ในพวกมีขันธ์ ๕ กล่าวคือ  มนุษย์  เทวดา รูปพรหม อรูปพรหม เหล่านี้อยู่ในพวกมีขันธ์ ๕ สัตว์ดิรัจฉาน สัตว์นรกก็พวกมีขันธ์ ๕ พวกมืดทั้งนั้น  ยิ่งในโลกันตร์นรก  เรียกว่ามืดใหญ่ทีเดียว

            วิชชาที่ว่านี้หมายเอาวิชชา ๓ คือ  ๑.วิปัสสนาวิชชา  ๒.มโน- มยิทธิวิชชา  ๓.อิทธิวิธิวิชชา แต่ถ้านับรวมตลอดถึงอภิญญา ซึ่งเป็นประเภทหนึ่งของวิชชาเข้าด้วยกันแล้ว  รวมกันเป็น ๘ คือ  ๔.ทิพ-จักขุวิชชา  ๕.ทิพโสตวิชชา  ๖.ปรจิตตวิชชา  ๗.ปุพเพนิวาสวิชชา   ๘.อาสวักขยวิชชา  ส่วนจรณะนั้น  มี ๑๕ คือ ๑.ศีลสังวร ๒. อินทรียสังวร  ๓.โภชเนมัตตัญญุตา ๔.ชาคริยานุโยค  ๕.ศรัทธา   ๖.สติ  ๗.หิริ  ๘.โอตตัปปะ   ๙.พาหุสัจจะ   ๑๐.อุปักกโม  ๑๑.ปัญญา กับ รูปฌาน ๔  จึงรวมเป็น  ๑๕

            ต่อไปนี้จักแสดงถึงวิชชา  และจะยกเอาวิปัสสนาวิชชาขึ้นแสดงก่อน  วิปัสสนา คำนี้ แปลตามศัพท์ว่า เห็นแจ้ง  เห็นวิเศษ  หรือนัยหนึ่งว่าเห็นต่างๆ, เห็นอะไร, เห็นนามรูป, แจ้งอย่างไร, แจ้งโดยสามัญลักษณะ  ว่าเป็นของไม่เที่ยง  เต็มไปด้วยทุกข์  และเป็นอนัตตา   ใช่ตัวตน  สัตว์ บุคคล เรา เขา มีข้อสำคัญที่ว่าเห็นๆ อย่างไร เป็นเรื่องแสดงยากอยู่  เห็นด้วยตาเรา  นี่หรือเห็นด้วยอะไร  ตามนุษย์ไม่เห็นต้องหลับตาของมนุษย์เสีย  ส่งใจไปจดจ่ออยู่ที่ศูนย์ดวงปฐมมรรค  (คำว่าปฐมมรรคนี้ ได้มาจากบาลีในสนธิกับประโยคว่า "ตตฺรายมาทิ   ซึ่งแปลกันมาว่า  อยํ  ปฐมมคฺโค  อันว่าปฐมมรรคนี้   อาทิภวติ   มีอยู่เป็นเบื้องต้น  ตตฺร นิพฺพาเน  ในพระนิพพาน)   เห็น  จำ  คิด  รู้  มีอยู่ในดวงปฐมมรรคนั้น  ตากายทิพย์รูปพรหม  อรูปพรหม  ไม่เห็นก็เพราะว่า  พวกเหล่านี้ยังไม่พ้นโลกเสมือนลูกไก่อยู่ในกะเปาะไข่  จะให้แลลอดออกไปเห็นข้างนอกย่อมไม่ได้  เพราะอยู่ในกะเปาะของตัว  เพราะอยู่ในกะเปาะของตัว เพราะโลกมันบัง  ด้วยเหตุว่าโลกมันมืดดังกล่าวมาแล้วข้างต้น  พวกเหล่านี้ จึงไม่สามารถจะเห็น กล่าวคือ พวกที่บำเพ็ญได้จนถึงชั้นรูปฌาน และอรูปฌาน ก็ยังอยู่ในกะเปาะภพของตัว  ยังอยู่จำพวกโลก หรือที่เรียกกันว่าฌานโลกีย์ ยังเรียกวิปัสสนาไม่ได้  เรียกสมถะได้  แต่อย่างไรก็ดี  วิปัสสนาก็ต้องอาศัยทางสมถะเป็นรากฐานก่อน  จึงจะก้าวขึ้นสู่ชั้นวิปัสสนาได้  การบำเพ็ญสมถะนั้น ส่งจิตเพ่งดวงปฐมมรรคตรงศูนย์คือ กึ่งกลางกายภายในตรงกลางพอดี ไม่เหลื่อมซ้ายขวาหน้าหลัง แล้วเลื่อนสูงขึ้น ๒ นิ้ว เมื่อถูกส่วนก็จะเห็นกายมนุษย์  กายทิพย์  กายรูปพรหม  กายอรูปพรหม  เป็นชั้นๆ ซ้อนกันอยู่ภายในตามลำดับจากกายมนุษย์เข้าไปพิจารณาธาตุธรรมถูกส่วน  รูปจะกะเทาะล่อนออกจากกัน เห็นตามลำดับเข้าไป กาย-มนุษย์กะเทาะออกเห็นกายทิพย์ๆ กะเทาะออกเห็นกายรูปพรหม  กายรูปพรหมกะเทาะออก เห็นกายอรูปพรหม ในเมื่อประกอบธาตุ-ธรรมถูกส่วน วอกแวก ไม่เห็น นิ่งหยุด จึงเห็น หยาบไม่เห็น  ละเอียด จึงเห็น  อาตาปี  สมฺปชาโน สติมา  ประกอบความเพียรมั่น  รู้อยู่เสมอไม่เผลอ  เพียงแต่ชั้นกายทิพย์เท่านั้นก็ถอดส่งไปยังที่ต่างๆได้  ไปรู้ไปเห็นเหตุการณ์ได้เหมือนตาเห็น คล้ายกับนอนหลับฝัน แต่นี่ไม่ใช่หลับ  เห็นทั้งตื่นๆ การนอน คนธรรมดาสามัญจะหลับเมื่อไรไม่รู้ จะตื่นเมื่อไรก็ไม่รู้  แต่ถ้าถึงชั้นกายทิพย์แล้ว  จะต้องการให้หลับเมื่อไร  จะให้ตื่นเมื่อไร  ทำได้ตามใจชอบ พวกฤาษีที่ได้บำเพ็ญฌานเขาก็ทำได้ แต่ทั้งนี้ก็อยู่ในคั่นสมถะนั่นเอง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ก็ได้เรียนฌานมาแล้วจากในสำนักฤาษี กล่าวคืออาฬารดาบส  และอุทก-ดาบส  ก็ได้ผลเพียงแค่นั้น  พระองค์เห็นว่ายังมีอะไรดียิ่งกว่านั้นจึงได้ประกอบพระมหาวิริยะบำเพ็ญเพียรต่อไป จนในที่สุดพระองค์ได้บรรลุวิปัสสนาวิชชา เมื่อถึงคั่นนี้แล้วจึงมองเห็นสามัญลักษณะ เห็นนามรูปด้วยตาธรรมกายเพราะพระองค์ทะลุกะเปาะไข่คือโลกออกมาได้แล้ว

            พระองค์เห็นโลกหมดทั่วทุกโลกด้วยตาธรรมกาย พระองค์รู้ด้วยญาณธรรมกาย ผิดกว่าพวกกายทิพย์ รูปพรหมและอรูปพรหมเหล่านั้น เพราะพวกเหล่านั้นรู้ด้วยวิญญาณ แต่พระองค์รู้ด้วยฌาน   จึงผิดกัน สภาพเหตุการณ์ทั้งหลายแหล่พระองค์รู้เห็นหมด แต่มิใช่รู้ก่อนเห็น  พระองค์เห็นก่อนรู้ทั้งสิ้น

            การเห็นรูปด้วยตามนุษย์ อย่างเช่นพระยสะกับพวก ไปพบซากศพและช่วยกันเผา ขณะเผาได้เห็นศพนั้นมีการแปรผันไปต่างๆ เดิมเป็นตัวคนอยู่เต็มทั้งตัว  รูปร่าง สี สัณฐานก็เป็นรูปคน  ครั้นถูกความร้อนของไฟเผาลน  สีก็ดำด่างแปรไป ดำจนคล้ายตะโกหดสั้นเล็กลงทุกทีๆ  แล้วแขนขาหลุดจากกัน จนดูไม่ออกว่าเป็นร่างคนหรือสัตว์  ไม่เพียงเท่านั้น  ครั้นเนื้อถูกไฟกินหมดก็เหลือแต่กระดูก  เป็นท่อนเล็กท่อนน้อย  ในที่สุดกระดูกเหล่านั้นแห้งเกราะแตกจากกันล้วนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจนดูไม่ออกว่าเป็นกระดูกสัตว์หรือกระดูกมนุษย์ พระยสะปลงสังเวชถึงความเป็นอนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา แห่งสังขารร่างกายที่เป็นซากศพนั้น  แม้กระนั้นก็ยังไม่ทำให้บรรลุมรรคผล  จนกว่าจะได้ไปพบพระพุทธเจ้า  จึงบรรลุมรรคผล  นี่ก็เป็นหลักฐานที่ยืนยันว่า  เห็นด้วยตามนุษย์  ไม่ทำให้บรรลุมรรคผลได้ อย่างมากก็เป็นเพียงปัจจัย เพื่อจะให้บรรลุมรรคผลเท่านั้น การเห็นด้วยตาทิพย์ ตารูปพรหมและอรูปพรหมก็เช่นเดียวกัน เป็นเพียงปัจจัยเพื่อให้บรรลุมรรคผลเท่านั้น  ต้องเห็นด้วยตาธรรมกายจึงจะบรรลุมรรคผลได้

            รูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ  เรียกว่า เบญจขันธ์  คือ ขันธ์ ๕ รูปจะกล่าวในที่นี้  เฉพาะรูปหยาบๆ คือสิ่งซึ่งธาตุทั้ง ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ  ประกอบกันเข้า  รวมกันเป็นก้อนเป็นชิ้นเป็นอัน  แลเห็นด้วยตา เช่น ร่างกายมนุษย์และสัตว์  ที่เรียกว่ารูปเพราะเหตุว่า เป็นของซึ่งย่อมจะต้องแตกสลายไปด้วยเหตุต่างๆ มีหนาวและร้อนเป็นต้น  กล่าวคือหนาวจัด  เย็นจัด  จนเกินขีด  หรือถูกร้อนจนเกินขีด  ย่อมแตกสลายไป  แต่ถ้าแยกโดยละเอียดแล้ว  รูปนี้มีหลายประเภทด้วยกัน  เช่น อุปาทายรูป เป็นต้น แต่ว่าจักยังไม่นำมาแสดงในที่นี้ การพิจารณา โดยสามัญลักษณะ พิจารณาไปๆ ละเอียดเข้าซึ้งเข้าทุกที  จนเห็นชัดว่านี่มิใช่ตัวตนเราเขา  อะไรสักแต่ว่าธาตุประชุมตั้งขึ้นแล้วก็ดับไป  ตาธรรมกายนั้นเห็นชัดเจน  เห็นเกิด  เห็นดับ  ติดกันไปทีเดียว  คือเห็นเกิดดับๆๆๆ คู่กันไปทีเดียว ที่เห็นว่าเกิดดับๆ นั้น เหมือนอะไร  เหมือนฟองน้ำ  เหมือนอย่างไร  เราเอาของฝาด  เช่นเปลือกสนุ่นมาต้ม  แล้วรินใส่อ่างไว้  ชั้นต้นจะแลเห็นเป็นน้ำเปล่าๆ  ต่อมาเมื่อเอามือแกว่งเร็วๆ  อย่างที่เขาเรียกว่าตีนำ้ให้เป็นฟอง เราจะเห็นมีสิ่งหนึ่งปรากฏขาวขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่าง  สิ่งนี้เราเรียกว่าฟองน้ำ ดูให้ดีจะเห็นในฟองนั้นมีเม็ดเล็กๆเป็นจำนวนมาก  ติดต่อกันเป็นพืดรวมกันเรียกว่า ฟองน้ำ เราจ้องดูให้ดีจะเห็นว่าเม็ดเล็กๆ นั้นพอตั้งขึ้นแล้วก็แตกย่อยไปเรื่อยๆ ไม่อยู่นานเลย  นี่แหละเห็นเกิดดับๆ ตาธรรมกายเห็นอย่างนี้  เห็นเช่นนี้  จึงปล่อยอุปาทานได้  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณอีก ๔ กองนั้น ก็ทำนองเดียวกัน เห็นเกิดดับๆยิบไปเช่นเดียวกับเห็นในรูป  ทุกข์เป็นของมีและขึ้นประจำกับขันธ์ ๕ เป็นของธรรมดา แต่นี่เราเดือดร้อน ก็เป็นเพราะไปขืนธรรมดาของมันเข้า ขันธ์ ๕ เป็น     อนิจจังไม่เที่ยง ย่อมแปรผันไปตามธรรมดาของมัน เกิดแล้วธรรมดามันก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย เมื่อมันถึงคราวแก่ เราไม่อยากจะแก่  หรือไม่ยอมแก่ อาการของมันที่แสดงออกมา  มีผมหงอกเป็นต้น  ถ้าเราขืนมัน ตะเกียกตะกายหายาย้อมมันไว้ นี่ว่าอย่างหยาบๆ ก็เห็นแล้วว่าเกิดทุกข์แล้ว เกิดลำบากแล้ว ถ้าเราปล่อยตามเรื่องของมัน   ก็ไม่มีอะไรมาเป็นทุกข์, เวทนา  สัญญา  สังขาร วิญญาณ ก็ทำนองเดียวกัน  ความทุกข์เกิดขึ้นเพราะขืนมัน  ขืนธรรมดาของมัน สิ่งไม่เที่ยงจะให้เที่ยง  สิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนก็ยังขืนยึดว่าเป็นตัวตน เหตุที่ให้ขืนธรรมดาของมันเป็นเช่นนี้ อะไร อุปาทานนั่นเอง ถ้าปล่อยอุปาทานได้การขืนธรรมดาก็ไม่มี ตามแนวที่พระปัญจวัคคีย์ตอบกระทู้ถามสมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสถามว่า  เมื่อมันมีอาการแปรผันไปเป็นธรรมดา  แก่  เจ็บ  ตาย  เช่นนี้แล้ว  เบญจขันธ์นี้จะเรียกว่าเป็นของเที่ยงไหม  ตอบว่าไม่เที่ยง เมื่อไม่เที่ยงแล้วเป็นทุกข์หรือเป็นสุข ตอบว่าเป็นทุกข์พระพุทธเจ้าข้า  ถ้าเช่นนั้นควรละหรือจะยึดเป็นตัวตน  ไม่ควรพระพุทธ- เจ้าข้า

            อะไรเล่าเป็นเหตุให้เกิดอุปาทาน  ตัณหานั่นเองได้แก่กามตัณหา  ความทะยานอยาก เกี่ยวด้วยอารมณ์ ๖ มีรูปเป็นต้น ภวตัณหา  ความทะยานอยากเป็นไปในอารมณ์ ๖ ประกอบด้วยสัสสตทิฏฐิ  ถือว่าเที่ยงถาวร วิภวตัณหา ความทะยานอยากเป็นไปในอารมณ์ ๖ ประกอบด้วยอุจเฉททิฏฐิ  ถือว่าขาดสูญ  เมื่อละตัณหาได้  อุปาทานก็ไม่มี  ดังจะยกอุทาหรณ์เทียบเคียงให้เห็นดั่งเช่นสามี  ภรรยา ที่หย่าขาดจากกัน เมื่อเขายังไม่หย่ากัน  สามีไปทำอะไรเข้า ภรรยาก็เก็บเอามาเป็นทุกข์เป็นร้อนด้วย  หรือเมื่อฝ่ายภรรยาไปทำอะไรเข้า  ฝ่ายสามีก็เก็บเอามาเป็นทุกข์เป็นร้อนด้วย ถ้าเขาหย่าขาดจากกันแล้วมิใยที่ฝ่ายใดจะไปก่อกรรมทำเข็ญขึ้น อีกฝ่ายหนึ่งจะไม่มีทุกข์ร้อนด้วยเลย  ทั้งนี้เพราะอะไรก็เพราะเขาต่างหมดความยึดถือ (อุปาทาน) ว่าเขาเป็นสามีภรรยากันแล้ว นี่ฉันใดก็ฉันนั้น นี่จะเห็นชัดในข้อว่าทุกข์เกิดจาก อุปาทาน อันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวดูดดึงเข้ามา แต่ลำพังขันธ์ ๕ ไม่ใช่ตัวทุกข์ ได้ในคำว่า ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา รวมความก็ว่า ปล่อย อุปาทานไม่ได้เป็นทุกข์ ปล่อยได้หมดทุกข์ ถอดกายทิพย์ออกเสียจากกายมนุษย์ กายมนุษย์ก็ไม่มีเรื่อง จะมีใครเป็นทุกข์ และในที่สุดจะต้องปล่อยอุปาทานให้หมดทั้งในกายทิพย์ กายรูปพรหม และอรูปพรหม  คงแต่ธรรมกายเด่นอยู่

            เหตุใดพระองค์จึงเน้นสอนหนักไปในทางอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา  เมื่อใคร่ครวญโดยสุขุมแล้ว จะมองเห็นว่า พระองค์สอนดังนั้นเพื่อตะล่อมให้คนที่มีความคิด ใช้วิจารณปัญญาสอดส่องเห็นได้เอง เช่น พระองค์ตรัสถึงอนิจจัง ก็เพื่อให้ค้นคิดหานิจจัง  ตรัสถึงทุกขัง ก็เพื่อให้ค้นคิดหาสุขัง ตรัสถึงอนัตตา ก็เพื่อให้คิดหาอัตตา คนที่มีปัญญาเฉลียวฉลาด ประกอบด้วยความเพียรพินิจพิจารณา ย่อมจะมองเห็นแนวพระโอวาทของพระองค์  จะเทียบให้เห็นเช่น  มีคน ๒ คน ยืนอยู่  คนหนึ่งสูง  คนหนึ่งต่ำ เรารู้จักคนสูง  ใครมาถามเราว่าคนสองคนนั้นรู้จักไหม เราตอบว่าคนสูงเรารู้จัก เมื่อคนอื่นได้ยินคำตอบเช่นนั้น แม้ตาของเขาไม่แลเห็นคนสองคนนั้นเลย เขาย่อมจะรู้ว่าคนที่เราไม่รู้จักนั้นต่ำกว่าคนที่เรารู้จัก  โดยเราไม่จำเป็นจะต้องพูดว่า  คนต่ำเราไม่รู้จัก  นี่ฉันใด  อนิจจัง  บอก  นิจจัง  ทุกขัง บอก  สุขัง อนัตตา บอก  อัตตา  ฉันนั้น อะไรเล่าเป็นนิจจัง สุขัง อัตตา ก็คือธรรมกายนี้เอง เป็นตัว  นิจจัง สุขัง อัตตา

            ติด หลุด เป็นหัวข้อสำหรับผู้ปฏิบัติ  ปล่อยอุปาทานไม่ได้เรียกว่าติด  ปล่อยได้เรียกว่าหลุด  ติดคือติดอยู่ในโลก  หลุดคือพ้นจากโลก  เรียกว่าโลกุตรเข้าแดนพระนิพพาน  ต้องปล่อยอุปาทานทั้งในกายมนุษย์  กายทิพย์ กายรูปพรหม อรูปพรหม ต้องพิจารณาให้เห็นความเป็นจริงแห่งเบญจขันธ์ดังกล่าวมานั้น ด้วยตาธรรมกาย จึงเป็นวิปัสสนาวิชชา  อันจะเป็นทางให้หลุดได้

วิปัสสนาวิชชาแยกได้เป็น ๑๐ ประการ คือ


            ๑.สัมมสนญาณ พิจารณาย่นย่อนามรูป คือ ความเห็นตามเป็นจริงของนามรูปนั้นๆ

            ๒.อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ คำนึงถึงความเกิดความดับของสังขารร่างกาย ดังอุทาหรณ์เรียกฟองน้ำดังที่กล่าวมาข้างต้น  คือเห็นเกิดดับๆๆๆติดต่อกันไป

            ๓.ภังคานุปัสสนาญาณ  คำนึงถึงแต่ความดับอย่างเดียว  ให้เห็นว่าสังขารร่างกายที่เกิดมาแล้วนี้ มันรังแต่จะแตกดับอย่างเดียว    และก็จะแตกดับอยู่รอมร่อแล้ว ประหนึ่งเรือนที่ปลูกอยู่ริมตลิ่ง ทั้งตัวเรือนก็เซซวนจวนจะพังอยู่แล้วด้วย ซึ่งเป็นความจริงแท้เราพูดกันอยู่หยกๆ  พอขาดคำเราอาจจะตาย เพราะโรคภัยอันตรายล้อมอยู่รอบข้าง   ไม่รู้ว่ามันจะปรากฏขึ้นขณะใด

            ๔.ภยตุปัฏฐานญาณ  คำนึงให้เห็นว่า  สังขารร่างกายเป็นภัย   เสมือนสัตว์ดุร้ายไม่น่าจะเข้าใกล้  ซึ่งหมายความว่าไม่ควรจะหลงนิยมชมชื่น   อันจะดูดดึงให้ใจเราหมกมุ่นเป็นเหตุให้ติดอยู่ในภพ

            ๕.อาทินวานุปัสสนาญาณ  นี่เป็นอีกแง่หนึ่งให้คำนึงถึงโทษแห่งสังขาร  ว่าถ้าเรามีอุปาทานยึดมั่นอยู่ว่า  เป็นตัวเป็นตนของเราแล้ว   มันจะให้ทุกข์โทษดังกล่าวในประการที่ ๔ นั้นดุจเดียวกัน

            ๖.นิพพิทานุปัสสนาญาณ เมื่อพิจารณาเห็นความเป็นไปแห่งสังขารดังกล่าวมาใน ๑ - ๒ - ๓ - ๔ - ๕ นั้นแล้ว  ก็ให้เกิดปรีชาคิดเบื่อหน่ายสังขารเป็นกำลังไม่อยากได้ใคร่ดีแล้ว

            ๗.มุญจิตุกัมยตาญาณ  ถึงคั่นนี้ก็ใฝ่ใจที่จะให้พ้นเสียจากสังขาร    คือไม่อยากมีสังขาร แต่ไม่ได้หมายความว่าจะให้ทำลายสังขารเสียโดยความโง่ๆ เช่นฆ่าตัวตาย ให้ดำเนินการที่จะคิดพ้นจากสังขารโดยอุบายที่ถูกทาง

            ๘.ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ  คิดคำนึงหาทางพ้นต่อไป  แต่หาทางออกทางพ้นไม่ได้  เพราะมันได้เกิดมาเป็นสังขารเสียแล้ว พะอืด พะอมอย่างนี้เรียกว่า กลืนไม่เข้า คายไม่ออก สำรอกไม่ไหว  ต่อไปก็ถึง

            ๙.สังขารุเปกขาญาณ วางใจเป็นกลางไว้ เท่ากับว่า เมื่อกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้ว ก็อมเฉยไว้ก่อนต่อจากนี้จะมีญาณอีกอันหนึ่งเกิดขึ้น คือ

            ๑๐.อนุโลมญาณ คำนึงผ่อนให้เป็นไปตามความที่เป็นจริงของมัน  นี่เป็นมัชฌิมาปฏิปทาเดินสายกลาง หันเข้าหาอริยสัจ ๔  โดยวิธีดังที่บรรยายมาข้างต้น ว่าโดยรวบรัดตัดความ ก็หันเข้าหาหลักธรรมกาย นั่นเอง พิจารณาเห็นแจ้งชัดอริยสัจ ๔ ด้วยตาธรรมกาย รู้ชัดด้วยญาณธรรมกาย จึงเป็นวิปัสสนาวิชชา  แต่ละอย่างๆที่กล่าวมาใน ๑๐ ข้อนี้ เป็นอาการหรืออารมณ์ของวิปัสสนา ที่จะพยุงจิตให้ข้ามขึ้นจากโลกีย์ไปสู่ภูมิโลกุตร  คำว่าสังขารร่างกายในที่นี้ หมายถึง นามรูปนั้นเอง ที่เรียกว่านามรูปนั้น  ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร  วิญญาณ  ๕ อย่างนี้รวมกันย่นลงเรียกว่านามรูป

มโนมยิทธิ


            มโนมยิทธิ  แปลว่า  ฤทธิ์ทางใจ  ใครบำเพ็ญได้ถึงที่ย่อมทำได้   คือทำให้ใจมีฤทธานุภาพผิดไปจากธรรมดา จะนึกให้เป็นอย่างไรก็เป็นไปตามนึก ดังเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จจากดาวดึงส์ นึกจะให้เทวดามนุษย์เห็นกัน เทวดาก็มองเห็นมนุษย์ ๆก็มองเห็นเทวดา ซึ่งมีปรากฏในเทโวโรหนสูตรนั้น เพราะมีธรรมกายๆ นึกอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น

อิทธิวิธี


            แปลว่า แสดงฤทธิ์ให้ปรากฏได้ต่างๆ ดังเช่นเนรมิตจักร  เนรมิตพระกาย และเนรมิตปราสาทราชฐาน ในครั้งทรงทรมานพระเจ้าชมพู-บดี จนพระเจ้าชมพูบดีหมดทิฏฐิมานะ แล้วจึงทรงแสดงธรรมสั่งสอนเป็นต้น

ทิพยจักษุ


            แปลว่า ตาทิพย์ ซึ่งหมายความว่า  มองเห็นอะไรๆ ได้หมด  ไม่ว่าอยู่ใกล้ไกลอย่างไร ดังเช่นเรื่องพระมเหศวรทดลองพระศาสดา   ให้ทรงปิดพระเนตรเสีย แล้วพระมเหศวรซ่อนตัว โดยจำแลงตัวให้เล็กแซกแผ่นดินไปซุกอยู่ในเมล็ดทราย ใต้เชิงเขาพระสุเมรุ  พระองค์ก็มองเห็น   ทรงเรียกให้ขึ้นมา  ยังหาว่าเป็นอุบายของพระองค์จะเดาลักเค้าเอา   ในที่สุดพระองค์ก็เอาฝ่าพระหัตถ์ ช้อนเอาตัวติดขึ้นมาพร้อมกับเมล็ดทรายนั้นให้เห็นประจักษ์ ตาทิพย์นี้แม้สาวกของพระองค์ก็มีได้ เอาตามนุษย์ ตากายทิพย์ รูปพรหม อรูปพรหม ซ้อนกัน แล้วเอาตาธรรมกาย มองซ้อนตากายอรูปพรหม จะเห็นชัดคล้ายกับว่าแว่นหลายๆ ชั้นซ้อนกัน

ทิพโสต


            แปลว่า หูทิพย์ ใครจะพูดอะไรกันที่ไหนได้ยินหมด โดยเอาแก้วหูกายมนุษย์ ทิพย์ รูปพรหม อรูปพรหม ซ้อนกันตลอดแก้วหูของธรรม-กาย ย่อมสัมฤทธิ์ผลเป็นหูทิพย์ ได้ยินอะไรหมด

ปรจิตตวิชชา


            แปลว่า ความรู้ที่สามารถทำให้ล่วงรู้ถึงวารจิตของผู้อื่นได้   ดังมีเรื่องพวกยักษ์เป็นอุทาหรณ์ คิดว่าจะตั้งปัญหาถามพระศาสดา ถ้าแก้ไม่ได้จะจับโยนข้ามมหาสมุทร ครั้นมาถึงก็เรียกพระองค์ว่ามานี่   ยังมิทันจะได้พูดอะไรต่อไป พระองค์ก็ล่วงรู้เสียก่อนแล้วว่าอาฬวกยักษ์ คิดมาอย่างไร  พระองค์ทรงตอบเย้ยไปว่า จะเรียกตถาคตไยเล่า   เข้าไปหาท่านจะจับเราโยนข้ามมหาสมุทร  แล้วในที่สุดได้ตรัสตอบไปว่า   ปัญหาที่ท่านคิดจะถามเรานั้น  พ่อของท่านบอกไว้ใช่ไหม แล้วเราจะบอกท่านได้ต่อไปด้วย ว่าพ่อท่านได้รับบอกมาจากพระกัสสปสัมมาสัม-พุทธเจ้า  นี่ล่วงรู้ใจคนได้อย่างนี้

ปุพเพนิวาสวิชชา


            แปลว่า  ความรู้ที่ระลึกชาติหนหลังได้  ว่าชาติไหน เป็นอะไร  เกิดที่ไหนมาแล้ว  ดังมีเรื่องเวสสันดรชาดกเป็นหลักฐาน  ไม่มีสิ่งที่จะพึงระแวงสงสัยอย่างไรเป็นองค์แห่งสัมมาสัมโพธิญาณแน่แท้

อาสวักขยวิชชา


            แปลว่า ความรู้ที่ทำลายอาสวะให้หมดสิ้นไป  กล่าวคือกามาสวะ  ภวาสวะ  ทิฏฐาสวะ  อวิชชาสวะ  ทั้ง ๔ ประการนี้  พระองค์มีทัศนะปรีชาญาณหยั่งรู้วิถีทางที่ทำให้หมดสิ้นไป ไม่มีในพระกมลของพระองค์แม้แต่สักเท่ายองใย

            ต่อไปนี้ถึงเรื่อง  จรณะ ๑๕ จักได้ขยายความพอสมควร  จรณะ  แปลว่า  ประพฤติหรือธรรมควรประพฤติ

            ๑.สีลสังวร  ได้แก่  ความสำรวมในพระปาติโมกข์

            ๒.อินทรียสังวร  การสำรวมอินทรีย์ทั้ง ๖  คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มิให้อารมณ์ส่วนที่จะชักนำไปทางชั่วเข้าติดอยู่ได้ แต่การสังวรเหล่านี้มีประจำพระองค์เป็นปกติอยู่ มิจำต้องพยายามฝืนอย่างเช่น  ปุถุชนทั้งหลาย

            ๓.โภชเน มัตตัญญุตา   การรู้ประมาณในการบริโภคพอสมควร  ไม่มากไม่น้อยเกินไป เป็นจริยาที่เราควรเจริญรอยตาม ว่าโดยเฉพาะการบริโภคอาหารถ้ามากเกินไป   แทนที่จะมีคุณแก่ร่างกายกลับเป็นโทษ

            ๔.ชาคริยานุโยค  ทรงประกอบความเพียรทำให้พระองค์ตื่นอยู่เสมอ  คือรู้สึกพระองค์อยู่เสมอ  นิวรณ์เข้าครอบงำไม่ได้เป็นปกติ

            ๕.สัทธา พระองค์ประกอบด้วยศรัทธาอย่างอุกฤษฏ์ที่ปรากฏในเวชสันดรชาดกเป็นต้น พระองค์ได้บำเพ็ญทานบารมีบริจาคของนอกกาย ทานอุปบารมีสละเนื้อเลือดเมื่อทำความเพียร ทานปรมัตถ-บารมีสละได้ถึงชีวิตมาแล้วอย่างสมบูรณ์

            ๖.สตินั้น  ได้แก่ที่เรียกว่า สติวินัย  พระองค์ไม่เผลอในกาลทุกเมื่อ เราผู้ปฏิบัติควรเจริญรอยตามดังแนวที่ทรงสอนไว้ในมหาสติปัฏ-ฐานสูตร ไม่ว่าจะเดิน ยืน นั่ง นอน ให้มีสติอยู่เสมอ สติในมหาสติปัฏ-ฐานสูตร   ท่านหมายเอาสติที่ตรึกถึง  กาย  เวทนา  จิต  ธรรม

            ๗.หิริ  การละอายต่อความชั่ว

            ๘.โอตตัปปะ สะดุ้งกลัวบาปทั้ง ๒ ประการนี้ เป็นจรณะที่ติดประจำพระองค์อยู่อย่างสมบูรณ์

            ๙.พาหุสัจจะ  ฟังมาก นี่ก็มีประจำพระองค์มาแต่ครั้งยังสร้างบารมี พระองค์ทรงเอาใจใส่ฟังธรรมในสำนักต่างๆ เป็นลำดับมาจนกระทั่ง อาฬารดาบสและอุทกดาบส  ซึ่งได้ทรงเรียนรู้รูปฌาน  อรูปฌานมาจาก สำนักนี้

            ๑๐.อุปักกโม  ความเพียรไม่ละลด  ดั่งเช่นทรงบำเพ็ญพุทธกิจ๕ เป็นประจำ  ๑.เวลาเช้าบิณฑบาต  ๒.เวลาเย็นทรงแสดงธรรม       ๓. เวลาค่ำทรงประทานพระโอวาทแก่ภิกษุ  ๔.เวลาเที่ยงคืนทรงเฉลยปัญหาเทวดา  ๕.ใกล้รุ่งพิจารณาเวไนยสัตว์ที่จะพึงโปรด

            ๑๑.ปัญญา มีความรู้ความเห็นกว้างขวางหยั่งรู้เหตุรู้ผลถูกต้องไม่มีผิดพลาด  กับรูปฌานอีก ๔  จึงรวมเป็นจรณะ ๑๕  เพราะรูปฌาน ๔ นั้น พระองค์ได้อาศัยมาเป็นประโยชน์  ที่จะขยับขยาย โลกียปัญญาให้เป็นโลกุตร พวกสมาธินั่นเอง และในจำนวนสมาธินั้น   อัปปนาสมาธิจึงเป็นองค์ปฐมฌาน แม้กระนั้นยังเป็นโลกีย์ ต้องเห็นด้วยตาธรรมกาย  หยั่งรู้ด้วยฌานธรรมกาย  จึงเป็นโลกุตร  ฌาน ๘ นั้นเป็นจรณะส่งข้ามโลกพระองค์เรียนฌานนั้นจากดาบส ต่อจากนั้นพระองค์มาแสวงหาด้วยพระองค์เอง จึงได้สำเร็จพระสัมมาสัมโพธิ-ญาณเป็นองค์อรหันตสัมมาสัมพุทโธ

สุคโต


            แปลเป็นหลายนัย  เช่นว่า ไปดีแล้ว  ไปสู่ที่ดีหรือทรงพระดำเนินงาม  ที่ว่าไปดีแล้ว  หมายถึงว่าพระองค์ประพฤติดี  ทั้งกาย  วาจา  ใจ  คือกายเป็นสุจริต วาจาสุจริต ใจสุจริต ประพฤติสม่ำเสมอมาเป็นเอนกชาติ  ดับขันธ์จากชาติหนึ่งก็ไปสู่สุคติทุกชาติ ไม่ไปสู่ทุคติเลย อย่างนี้ก็เรียกว่าสุคโต  ไปดีแล้ว

            นัยหนึ่ง พระองค์ดำเนินกาย วาจา ใจ ไปในแนวอริยมรรค  ได้แก่มรรคมีองค์ ๘  มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น  สัมมาสมาธิเป็นปริโยสาน   ซึ่งย่อลงเป็นศีล สมาธิ ปัญญา พระองค์เดินทางศีลเป็นเบื้องต้น ศีลมีประเภทจำแนกละเอียดไว้มากมาย  รวมเข้าเป็นวินัยปิฎกถึง ๕ พระ-คัมภีร์ รวมยอดเข้าเป็นปฐมมรรคๆ เป็นดวงใสอยู่ในกึ่งกลางกาย  นั้นแหละ รวมยอดมาจากศีล  นี้แหละตัวศีล  สุคโตในทางศีล  พระองค์เดินทางใจ  ไปหยุดอยู่ตรงดวงปฐมมรรคนั้น   หยุดสงบจน  ราคะ  โทสะ  โมหะ  อภิชฌา  พยาบาทเข้าไม่ได้  ไม่มีอะไรเข้าไปทำให้ขุ่นมัว  จึงใสดุจกระจกส่องเงาหน้าก็เข้าคั่นสมาธิ  หยุดนิ่งจนมี"รู้  ผุดขึ้นเรียกว่าปัญญา  หยุดนิ่งอยู่เช่นนั้นเป็นทำนองเดียวกัน  ตั้งแต่กายทิพย์ รูปพรหม  อรูปพรหม จนถึงธรรมกาย เมื่อธรรมกายหยุดนิ่ง จิตของธรรมกายเป็นมรรคจิต  ญาณธรรมกายเป็นมรรคปัญญา ธรรมกายเข้าสมาบัติดูอริยสัจต่อไป ดวงใสถึงขนาดตกศูนย์แล้ว กลับเป็นโสดาบันบุคคล แล้วเป็นสกิทาคา อนาคา โดยทำนองเดียวกัน จนธรรมกาย อนาคาตกศูนย์  จึงเป็นพระพุทธเจ้า อย่างนี้ก็เรียก สุคโต

            อีกนัยหนึ่งว่า เขมัง ทิสัง คัจฉมาโน แปลว่าไปอยู่สู่แดนอันเกษม   กล่าวคือนิพพาน คือเมื่อธรรมกายเพ่งเล็งถูกส่วนตกศูนย์  มีอายตนะ อีกอย่างหนึ่งที่เรียกว่าอายตนะนิพพาน ดึงดูดธรรมกายที่ตกศูนย์นั้นเข้านิพพานอยู่เนืองนิตย์ แม้ในขณะมีพระชนม์อยู่  ชื่อว่าไปอยู่สู่แดนเกษม  ประการหนึ่ง  เมื่อจะดับขันธ์พระองค์เข้าสมาบัติ อายตนะนิพพานดึงดูดเข้าสู่นิพพานไป  นี่ก็เรียกว่าไปสู่แดนอันเกษม  ซึ่งอยู่ในความหมายว่า  สุคโต

            สุคโตที่แปลว่า ทางพระดำเนินงาม หมายถึงว่า เมื่อครั้งจะทรงพระดำเนินไปโปรดพระปัญจวัคคีย์ยังป่าอิสิปตนะนั้น ทรงเดินไปด้วยย่างพระบาท มีฉัพพรรณรังสีรุ่งโรจน์ จนแม้แต่ว่าสัตว์จตุบาท ทวิบาทที่มาแลเห็นก็งงงันหยุดนิ่งตะลึงไปไม่ได้ อย่างนี้เรียกว่าทรงพระดำเนินงาม

            สุนทรฐานัง  คตัตตา  ที่ว่าสุคโตเพราะอรรถว่าไปสู่ที่ไหน ดีที่นั่น    ดังเช่นครั้งเมื่อเมืองไพสาลีเกิดไข้ทรพิษระบาดไปทั่วเมือง ผู้คนล้มตายกันมากจนหาคนจะเก็บศพไปฝังไม่ได้ ถึงกับปล่อยให้เน่าคาเรือน  พวกเจ้าลิจฉวีประชุมกันให้ไปเชิญพระองค์ๆ มาถึงฝั่งแม่น้ำข้างหนึ่ง  เป็นเวลาเย็นแล้ว  จึงทรงประทับยับยั้งอยู่  ในคืนนั้นเทวดาทั้งหลายรู้ว่า รุ่งขึ้นพระศาสดาจะเสด็จข้ามฟากไปสู่นครเวสาลี เห็นว่าที่นั่นอากูล ไปด้วยซากศพ จึงประชุมกันให้วัสสวลาหกบันดาลให้ฝนตกลงมามากมาย จนถึงเป็นกระแสน้ำพัดพาซากศพเหล่านั้นไปหมดสิ้น ก่อนเวลาที่พระองค์จะเสด็จไปถึง เมื่อพระองค์เสด็จข้ามฟากไปถึง นคร-เวสาลีก็สะอาดหมดจดแล้ว  พวกเจ้าลิจฉวีถวายอาหารบิณฑบาต  ทรง เจริญพระปริตต์  และให้พระอานนท์เอาน้ำพระพุทธมนต์ไปประพรม  ด้วยใช้กำหญ้าคาจุ่มน้ำพระพุทธมนต์ อมนุษย์ก็ปลาสนาการไปหมด  โรคภัยก็สงบ ดังนี้ก็ได้ชื่อว่า สุคโต

โลกวิทู


            แปลว่า   รู้แจ้งซึ่งโลก  โลกแบ่งออกเป็น ๓ คือ สังขารโลก  สัตวโลก  โอกาสโลก  โลกทั้ง ๓ นี้  สมเด็จพระบรมศาสดาทรงรู้แจ้งหมด รู้ถึงความเป็นไปของโลกเหล่านี้โดยละเอียดด้วย จึงได้พระนามว่า โลกวิทู

            คำว่า โลก หมายความว่าเป็นที่ก่อแห่งสัตว์ หรือนัยหนึ่งว่าเป็นที่ก่อผลแห่งสัตว์  ซึ่งว่าเป็นที่ก่อแห่งสัตว์ก็คือ  เป็นที่เกิดที่อยู่แห่งสัตว์  เป็นที่ก่อผลแห่งสัตว์ก็คือ เป็นที่ซึ่งสัตว์ได้อาศัยก่อกุศลและอกุศล ว่าโดยเฉพาะ โลกมนุษย์เป็นที่ให้มนุษย์อาศัยสร้างบุญแล้วก็ได้ผลไปบังเกิดในสวรรค์ หรือบำเพ็ญบารมีแล้วส่งผลไปสู่นิพพาน  ดั่งเช่นองค์สมเด็จพระศาสดา ถ้าสร้างบาปแล้ว ก็เป็นผลให้ไปเกิดในนรก

            สังขารโลก คือโลกที่มีอาหารเป็นปัจจัยปรุงแต่ง ได้แก่คำว่า  อาหารัฏฐิติกา สัตว์อยู่ได้เพราะอาหารปรนปรือ อาหารแปลว่าประมวลมา   หรือเครื่องปรนปรือ  และแบ่งออกเป็น ๔ ประเภท  คือ ๑.กวฬิงกา-ราหาร  ๒.ผัสสาหาร ๓.มโนสัญเจตนาหาร  ๔.วิญญาณาหาร

            กวฬิงการาหาร หมายความว่า  อาหารที่เป็นคำๆ เช่น คำข้าว  ส่วนละเอียดของอาหาร คือโอชะ หรือที่เรียกกันอย่างใหม่ๆ ว่า วิตามิน นั้น  เข้าไปปรนปรือร่างกาย จึงเป็นปัจจัยให้สัตว์ดำรงชีวิตอยู่ได้ สัตว์ทั้งหลายมีอาหารหยาบมาก  และละเอียด ต่างกันเป็นพวกๆ เช่น จระเข้ กินอาหารหยาบมาก แม้ก้อนหินหรือสัตว์ตัวใหญ่ๆ แต่แล้วก็มีโอชะไปหล่อเลี้ยงร่างกายมันได้ นกยูงกินแมลงต่างๆ ทั้ง ตัว  สุนัขไนแทะกินกระดูกสัตว์ที่แข็งๆ  ช้างม้าโคกระบือกินหญ้าและใบไม้ของหยาบๆ  ก็มีโอชะไปหล่อเลี้ยงร่างกายมันได้ มนุษย์กินอาหารละเอียดกว่าสัตว์ที่กล่าวมาเป็นชั้นๆ เช่นราษฎรสามัญ กินหยาบกว่าพระมหากษัตริย์ พวกเทวดากินอาหารละเอียดกว่ามนุษย์  อย่างที่เรียกว่าทิพย์ก็คือโอชะ ส่วนละเอียดของอาหาร  พวกพรหมละเอียดยิ่งกว่าเทวดาอีก มีจักรพรรดิ คอยปรนปรือ แม้เลยชั้นรูปพรหม อรูปพรหมขึ้นไป  คือถึงชั้นนิพพาน ก็มีอาหารส่วนละเอียดไปหล่อเลี้ยงเช่นเดียวกัน  อาหารละเอียดเป็นที่สุด แต่อยู่นอกโลก นี่เป็นการสาวหาเหตุผลประกอบเป็นลำดับชั้นไป มิใช่ตำรับตำราโดยตรง แม้ในพวกเทวดากันเอง ก็มีอาหารละเอียดต่างกันเป็นชั้นๆ ขึ้นไป ภุมเทวดามีอาหารหยาบกว่าพวกเทวดาอื่น  ถัดขึ้นไปชั้นยามาและอื่นๆละเอียดยิ่งกว่ากันขึ้นไปทุกชั้น การกินอาหารของพวกเทวดา มีอาการเหมือนเราฝัน แล้วก็มีความอิ่มเอิบไปตามระยะเวลา แต่ระยะเวลานานกว่ามนุษย์ต่างกันเป็นลำดับขึ้นไป

            อาหารเป็นปัจจัยให้เกิดรูป  มีโอชะเป็นคำรพ ๘ คือ ปถวี  อาโป  เตโช วาโย วัณโณ คันโธ  รโส โอชา ซึ่งเรียกว่ากลาปรูป คือรูปเกิดจากอาหารเป็นคำๆ นี้จำพวกกวฬิงการาหาร

ผัสสาหาร


            ได้แก่ผัสสะทั้ง ๖ คือ ผัสสะทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ผัสสะแปลว่าความกระทบ เช่นเมื่อรูปมากระทบตาก็เกิดขึ้นเรียกว่า  จักขุสัมผัส  อีก ๕ อย่าง ก็เช่นกัน  ผัสสะนี้เป็นอาหารเพราะประมวลให้เกิดเวทนา  หรือปรนปรือให้เกิดเวทนา ๓ ผัสสะที่เกิดจากกระทบอารมณ์ที่ดี  ก็ให้เกิดสุขเวทนา กระทบอารมณ์ชั่วก็ให้เกิดทุกขเวทนา อารมณ์ไม่ดีไม่ชั่วก็ให้เกิดอุเบกขาเวทนา ดังเช่นพระสารีบุตรยืนกั้นร่มให้พระศาสดาได้เป็นเวลา ๗ วัน โดยไม่หิวโหย  ก็เพราะผัสสาหารอย่างนี้  สัตว์นรกดำรงชีพรับเคราะห์กรรมอยู่ได้ก็เพราะผัสสาหารทางชั่ว คนนอนหลับอยู่ได้ก็ด้วยผัสสะชนิดให้เกิดอุเบกขาเวทนา

มโนสัญเจตนาหาร


            ได้แก่การคิดอ่านทางใจ มโนสัญเจตนาหารนี้เป็นอาหารประมวลมาซึ่งภพ ๓ คือ กามภพ  รูปภพ  อรูปภพ  แล้วแต่เจตนา  คือมุ่งไปเกาะภพไหน เมื่อประกอบถูกส่วนก็ไปสู่ภพนั้น เจตนาเป็นตัวกรรม   ได้ในบาลีว่า เจตนาหํ ภิกฺขเวป วทามิ ซึ่งแปลความว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าเจตนานั่นเองเป็นตัวกรรม คนที่ทำกรรมเป็นกุศล สุคติภพย่อมคอยท่ารับรองเขาอยู่เหมือนกัน

วิญญาณาหาร


            วิญญาณ แปลว่า ความรู้แจ้งๆ เป็นอาหารชนิดหนึ่งเหมือนกัน  ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เหล่านี้เป็นที่รับรองของวิญญาณๆ ย่อมมีรสในอารมณ์ ๖ อย่าง ไม่ว่าอย่างใดอย่างหนึ่ง วิญญาณจึงเป็นอาหารประมวลให้เกิดนามรูป  ได้ในคำว่าวิญญาณปัจจยา นามรูปัง  ซึ่งแปลว่า  วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป

สัตว์โลก


            ที่ว่าพระองค์  ทรงรู้แจ้งซึ่งสัตว์โลกนั้น คือพระองค์ทรงรู้แจ้ง  ซึ่งธรรมเป็นที่มาแห่งจิตของสัตว์ทั้งหลาย

            สัตว์ทั้งหลายมีอัชฌาสัยหรือความเห็นต่างๆ กัน เช่นจำพวกหนึ่งเห็นว่าโลกเที่ยง  ไม่มียักเยื้องแปรผันและเห็นว่าเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว เมื่อตายไปก็ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อย่างเดิม อีกพวกหนึ่งเห็นว่าตายแล้วขาดสูญ  หมดสิ้นกันเท่านั้น  ไม่มีอะไรในผู้นั้นจะมาเกิดอีก  ทำดี  ทำชั่ว  ก็สิ้นสุดเพียงวันตาย ไม่มีบุญไม่มีบาปจะตามไปสนองในภพหน้าที่ไหนอีก อย่างนี้เรียกว่าไม่รู้ซึ่งความเป็นจริงของโลก ส่วนพระองค์ทรงรู้จริงเห็นแจ้งซึ่งสัตว์โลกว่าไม่เป็นเช่นนั้น  ที่จริงสัตว์โลกทั้งหลายย่อมเป็นไปตามยถากรรม ทำดี ความดีย่อมติดตามไปสนองในภพหน้า ทำชั่ว ความชั่วย่อมติดตามไปสนองในภพหน้า เป็นเสมือนเงาตามตัว อันเรียกว่า ยถาภูตญาณทัสสนะ  จึงได้ชื่อว่าโลกวิทูนัยหนึ่ง

            อนุสเย ชานาติ ทรงรู้แจ้งซึ่งอนุสัย ๗ ประการ คือ กามราคานุสัย ภวราคานุสัย ปฏิฆานุสัย ทิฏฐานุสัย วิจิกิจฉานุสัย มนานุสัย  อวิชชานุสัย

            จริตัง  ชานาติ  ทรงรู้แจ้งเห็นจริง  แห่งสัตว์ทั้งหลาย ๖ ประการ  คือ ราคะจริต  โทสะจริต  โมหะจริต  วิตักกจริต  สัทธาจริต  พุทธิจริต

            อธิมุตตึ  ชานาติ  ทรงรู้แจ้งนิสัยต่ำสูง และความเป็นผู้มีใจบุญ   ความเป็นผู้มีใจบาปแห่งสัตว์ทั้งหลาย ทรงรู้แจ้งซึ่งความมีกิเลสหนาบางแห่งสัตว์ทั้งหลาย

            ทรงรู้แจ้งในอินทรีย์ของสัตว์ทั้งหลายว่าแก่อ่อนอย่างไร กล่าวคือ  สัทธา  วิริยะ  สติ สมาธิ  ปัญญา  เรียกว่าอินทรีย์ ๕  คือ ความเชื่อ  ความเพียร  สติ  สมาธิ  และปัญญา  แล้วก็ทรงหาอุบายโปรดในเมื่อทรงเห็นว่าอินทรีย์แก่กล้าสมควรแล้ว ดังเช่นวักกลิพราหมณ์เห็นพระองค์มีพระสิริโฉมอันงามชอบเนื้อชอบใจ จนถึงขอบวชเป็นภิกษุ  บวชแล้วก็เฝ้ามองดูแต่พระสิริโฉมของพระองค์เป็นเนืองนิจ  พระองค์ก็ทรงรอไว้  ครั้นเมื่อเห็นว่าอินทรีย์แก่กล้าแล้ว  จึงทรงเริ่มหาอุบายโปรด โดยตรัสว่าวักกลิ ท่านจะมัวมามองดูร่างกายอันเน่าเปื่อยนี้ไย  ผู้ใดเห็นธรรม  ผู้นั้นจึงจะเห็นเรา พระวักกลิน้อยใจที่พระองค์ตรัสห้ามเช่นนั้น  จึงอำลาจากพระองค์ จะไปโดดภูเขาตาย  ในเมื่อใกล้โดดพระองค์ได้เปล่งรัศมีให้เห็น  ประหนึ่งไปประทับอยู่เฉพาะหน้า พระวักกลิวิ่งโลดโผเข้าไปในวงรัศมีของพระองค์ ด้วยความปีติเลื่อมใสอันแรงกล้า ก็ได้บรรลุมรรคผลในกาลบัดนั้น สมความ ปรารถนาแล้วก็มาเฝ้าพระบรมศาสดาโดยทางอากาศ

            สวากาเร  ทวากาเร  ชานาติ อีกประการหนึ่ง  พระองค์ทรงรู้แจ้งว่าสัตว์จำพวกใดมีอาการดี  มีอาการชั่ว แก้ไหวหรือไม่ไหว  มีศรัทธา  มีปัญญา  หรือว่าหาศรัทธา  หาปัญญามิได้เลย

            ภัพเพ  อภัพเพ  ชานาติ ประการหนึ่งทรงรู้ว่าสัตว์จำพวกใดทรงโปรดได้  จำพวกใดทรงโปรดไม่ได้  เช่นสัตว์พวกสัมมาทิฏฐิโปรดได้  จำพวกมิจฉาทิฏฐิโปรดไม่ได้

โอกาสโลก


            สภาพที่รับรองซึ่งกันและกันคือ อากาศรับรองธาตุไฟๆ รับรองธาตุน้ำๆ รับรองธาตุดินๆ รับรองภูเขาตรีกูฏๆ รับรองภูเขาสุเมรุราชๆ รับรองชั้นจาตุมหาราชๆ รับรองชั้นดาวดึงส์ๆ รับรองชั้นยามาๆ รับรอง     ดุสิตๆ รับรองนิมมานรดีๆ รับรองปรนิมมิตวสวดีๆ รับรองพรหม-  ปาริสัชชาๆ รับรองพรหมปุโรหิตาๆ รับรองมหาพรหมๆ รับรองปริตร-ตาภาๆ รับรองอัปปณาภาๆ รับรองอาภัสสราภาๆ รับรองปริตตสุภาๆ รับรองอัปปมานสุภาๆ รับรองสุภภิณหกาๆ รับรองเวหัปผลา และอสัญญีสัตตาๆ รับรองอวิหาๆ รับรองอตัปปาๆ รับรองสุทัสสาๆ รับรองสุทัสสีๆ รับรองอกนิฏฐกถาๆ รับรองอากาสานัญจายตนะๆ รับรองวิญญานัญจายตนะๆ รับรองอากิญจัญญายตนะๆ รับรองเนว-สัญญานาสัญญายตนะส่วนสูง (มนุสสโลกโตปัฏฐายะ) แต่มนุษย์โลกขึ้นไปถึงชั้นจาตุมหาราชิกาได้สี่หมื่นสองพันโยชน์  (กายเทวดาสูงร้อยเส้นใหญ่พอสมควร  อายุห้าร้อยปีทิพย์นับปีของมนุษย์ได้เก้าล้านปี)

            แต่จาตุมหาราชิกาขึ้นไปถึงดาวดึงส์ ได้สี่หมื่นสองพันโยชน์ แต่ดาวดึงส์ขึ้นไปถึงยามาได้สี่หมื่นสองพันโยชน์ แต่ยามาขึ้นไปถึงดุสิตได้สี่หมื่นสองพันโยชน์  แต่ดุสิตขึ้นไปถึงนิมมานรดี  ได้สี่หมื่นสองพันโยชน์  แต่นิมมานรดีขึ้นไปถึงปรนิมมิตวสวดี ได้สี่หมื่นสองพันโยชน์ แต่ปรนิม-มิตวสวดีขึ้นไป ห้าล้านห้าแสนแปดพันโยชน์ ถึงพรหมปาริสัชชขึ้นไปอีก เท่านั้น พรหมปุโรหิตาขึ้นไปเท่าๆ กันดังนี้ จนถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ มีระยะสูงเท่าๆ กันดังนี้

ธาตุ ๖ - ขันธ์ ๕

            ธาตุส่วนหยาบที่มีอยู่ตามปกติ  คือ

            ดินหนา            ๒๔๐,๐๐๐      โยชน์
            น้ำหนา            ๔๘๐,๐๐๐      โยชน์
            ไฟหนา            ๙๖๐,๐๐๐       โยชน์
            ลมหนา            ๑,๙๒๐,๐๐๐  โยชน์
            วิญญาณหนา   ๓,๘๔๐,๐๐๐  โยชน์

            อากาศหนาลงไปไม่มีที่สุด เช่น ภพ ๓ นี้อากาศที่อยู่รอบๆ  ภพก็ไปจดกับภพที่อยู่รอบๆออกไป  ข้างล่างจดขอบบนของโลกันตร์  ข้างบนจดขอบล่างของนิพพาน  ทุกๆ ระหว่างของภพเหล่านี้มีพระพุทธเจ้ารักษาอยู่ทั้งนั้น

            ธาตุเหล่านี้   ความจริงเป็นเพียงธาตุส่วนที่เรียกว่าโอกาสโลก   สำหรับธาตุที่เป็นส่วนขันธ์โลกนั้น  ละเอียดลงไปยิ่งกว่านี้หลายเท่า  พันทวี  เพราะขันธ์นั้นเป็นธาตุที่กลั่นมาจากธาตุอีกทีหนึ่ง

            เครื่องกลั่นธาตุนี้ ตั้งอยู่ในศูนย์กลางธาตุทั้ง ๖ ปริมาณความใหญ่โตของเครื่อง ก็เต็มธาตุนั้น  เมื่อเครื่องแรกกลั่นธาตุเหล่านี้  แล้วก็เอาแต่ส่วนที่ละเอียดที่สุดไปเก็บเข้าเครื่องกลั่นที่ ๒ - ๓ - ๔ - ๕ - ๖ - ๗  ต่อไปเป็นลำดับ  เมื่อเครื่องที่ ๗ กลั่นเสร็จแล้ว  ก็ทำการส่งธาตุที่ถูกกลั่นนั้นเข้ามาที่เครื่องศูนย์กลางของภพ ๓ นี้ (การส่งธาตุนั้นส่งโดยทางอายตนะของเครื่องที่ ๗ กับเครื่องในภพ ๓ )  เมื่อเครื่องในภพ ๓ นี้รับธาตุมาแล้ว ก็จะเอามาเข้าเครื่องสำเร็จเก็บไว้เป็นเซพทะเล  เซพทะเลเวลาที่ได้ธาตุมาแล้ว  เครื่องที่ศูนย์กลางภพ ๓ ก็จะทำหน้าที่ประกอบเป็นขันธ์ ๕ ขึ้น ประกอบได้สำเร็จพอกับปฐม-วิญญาณ (กายที่จะต้องมาอาศัยขันธ์) ขันธ์ที่ประกอบไว้แล้วนั้น  เป็นส่วนเฉพาะกายหนึ่งๆไม่มีปนเปกัน  ส่วนดี  ส่วนชั่ว  ส่วนไม่ดี  ไม่ชั่ว  ก็มีผู้ควบคุมไว้เป็นส่วนๆ

            เวลาที่จะส่งมาเป็นกายนั้น อาศัยกายทิพย์ที่มาถึงศูนย์กลางภพนั้น เข้าเครื่องประกอบพร้อมกับธาตุที่สำเร็จเป็นขันธ์  ประจำภพแล้ว  ก็จะส่งเข้ายังเครื่องที่ศูนย์กลางกายของพ่อ ธาตุสำเร็จที่ส่งเข้าไปในศูนย์กลางกายของพ่อนั้น  ขนาดเล็กเพียงเท่าเมล็ดโพธิ์เมล็ดไทรเท่านั้น เป็นชายก็ส่งผ่านเข้าโดยทางจมูกขวา หญิงเข้าทางซ้าย เวลาที่จะออกจากศูนย์กลางกายพ่อ ไปอยู่ในศูนย์กลางกายแม่ ก็อาศัยความดึงดูดของอายตนะของเครื่องที่มีอยู่ในศูนย์กลางกายแม่ รับเอามาจากศูนย์ของพ่อมาไว้ที่ขั้วมดลูกของแม่ ต่อจากนั้นก็อาศัยธาตุส่วนหยาบรักษาหล่อเลี้ยงกันต่อไป  

            เวลาที่กายดับ เครื่องในศูนย์กลางภพก็ดูดเอาธาตุเหล่านี้ไปเก็บไว้ตามเดิม 

            สำหรับขันธ์ของทิพย์ ก็กลั่นเอาไปจากขันธ์ของมนุษย์ ขันธ์ของทิพย์ก็กลั่นต่อไปเป็นของรูปพรหม, อรูปพรหม, ธรรม, ต่อๆ กันขึ้นไปเป็นลำดับ

อนุตตโรปุริสทัมมสารถิ


            พระคุณข้อนี้หมายความว่า พระองค์ก็เปรียบเสมือนสารถีผู้ฝึกสอนคนเป็นอย่างดี หาผู้อื่นเสมอเหมือนมิได้ ว่าโดยย่อก็คือ พระองค์มีพระปรีชาญาณเฉลียวฉลาดในอันที่จะฝึกสอนคนให้เป็นคนดีได้ ว่าโดยที่สุดก็คือให้สามารถบรรลุมรรคผลนิพพาน ได้ย่นคำสอนของพระองค์ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา แต่พระองค์มีอุบายสอนต่างๆ นานา สุดแล้วแต่จะทรงพิจารณาเห็นว่า บุคคลจำพวกใดมีนิสัยอย่างไร ก็ทรงใช้อุบายสอนให้ต้องกับนิสัย เช่น พระนันทกุมาร มีนิสัยหนักไปในทางราคะจริต  พระองค์ทรงเนรมิตเป็นรูปนางฟ้าเข้าล่อ จนพระนันทกุมารเห็นว่าสวยกว่านางคู่รักของเธอ แล้วก็ทรงยักเยื้องวิธีจนพระนันท-  กุมารเบื่อหน่ายในรูป

            ในบางกรณี เพื่อการเผยแพร่พระพุทธศาสนาพระองค์ทรงใช้อิทธิปาฏิหาริย์มากมาย ดังเช่นเรื่องอุรุเวลกัสสปเป็นต้น  ซึ่งมีเรื่องว่าครั้งเมื่อพระองค์คิดจะทรงปลูกฝังพระศาสนา ให้เป็นปึกแผ่นในกรุง-ราชคฤห์ แต่มีคณาจารย์คนสำคัญอยู่ที่นั่นชื่ออุรุเวลกัสสป ซึ่งมีคนนับถือมาก ถ้าปราบอุรุเวลกัสสปเสียได้พระพุทธศาสนาจึงจะรุ่งเรือง   พระองค์จึงเสด็จไปยังอาศรมแห่งอุรุเวลกัสสป ตรัสขออาศัยพักสักราตรีหนึ่งที่โรงเพลิง   อุรุเวลกัสสปว่าที่นั่นมีพญานาคพิษร้ายอยู่ตัวหนึ่ง   พระองค์ว่าไม่เป็นไรก็เสด็จประทับอยู่ที่นั้น  ครั้นตกเวลากลางคืน พญานาคสำแดงพิษ หรือเรียกว่าพ่นพิษทำร้ายพระองค์ แต่พระองค์ทรงดำรงพระสติ เฉพาะหน้าต่อพระกัมมัฏฐานภาวนานุโยคประมวลมาซึ่งอิทธาภิสังขาร สำแดงเตโชกสิณสมาบัติบันดาลให้เป็นเปลวเพลิง ยังพญานาคให้พ่ายแพ้ด้วยฤทธิ์ของพระองค์ แล้วให้ขดตัวอยู่ในบาตร  เอาไปให้อุรุเวลกัสสปกับบริวารดู แต่อุรุเวลกัสสปก็ยังไม่เลื่อมใส ยังถือทิฏฐิว่าตนเป็นอรหันต์อยู่ พระองค์ก็ทรงแสดงอีกหลายประการตลอดจนแสดงจงกรม คือ เดินอยู่บนน้ำแล้วเหาะขึ้นบนอากาศ แล้วเลื่อนลอยลงมาสู่เรือของอุรุเวลกัสสป และบริวารที่ไปดูอยู่นั้นแล้วในที่สุดจึงชี้แจงให้พวกอุรุเวลกัสสปรู้ตัวว่า ทางที่พวกเธอปฏิบัติอยู่นั้น  มิใช่ทางที่จะบรรลุมรรคผล พวกเธอยังไม่ใช่พระอรหันต์  อุรุเวลกัสสปได้สดับพระพุทธฎีกาก็ละทิฏฐิ ซบเศียรลงแทบฝ่าพระบาทพระองค์ขอ บรรพชาอุปสมบทในสำนักพระองค์ ลำดับนั้นแล้ว นทีกัสสปและคยา-กัสสปผู้เป็นน้องของอุรุเวลกัสสป ซึ่งต่างก็มีบริวารและเป็นคณาจารย์ตั้งอาศรมอยู่ถัดๆ กันไปตามลำดับลำนำ้เนรัญชราทางใต้ ทราบเรื่องราวขึ้นก็พากันเลื่อมใส มาขอบรรพชาอุปสมบทในสำนักพระองค์หมดสิ้น ดังนี้พระองค์จึงเป็นผู้ฝึกสอนอย่างดีเลิศ  ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน  จึงได้พระนามว่า อนุตตโร ปุริสทัมมสารถิ



สัตถา เทวมนุสสานัง

            แปลว่า พระองค์เป็นบรมครู แห่งเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย  ข้อนี้สาธกได้ด้วยพุทธกิจ ๕ ประการ  ซึ่งว่า ๑.เวลาเช้าบิณฑบาต   ๒.เย็นทรงแสดงธรรม  ๓.พลบค่ำทรงให้โอวาทภิกษุ   ๔.เที่ยงคืนแก้ปัญหาเทวดา ๕.ย่ำรุ่งพิจารณาดูเวไนยสัตว์ที่จะพึงโปรด จะเห็นได้ว่าในข้อ ๒ - ๓ นั้น ทรงเป็นครูมนุษย์ ข้อ ๔ นั้นทรงเป็นครูเทวดา  และยังมีมงคลสูตรเป็นข้อยืนยันอีก เพราะเหตุที่พระองค์จะทรงแสดงมงคลสูตรนั้นก็เนื่องมาจากเหตุว่า เทวดาลงมาเฝ้าและยกปัญหาขึ้นทูลถามว่า   อะไรเป็นมงคล   พระองค์จึงทรงประทานเทศนามงคลสูตร   ซึ่งเริ่มต้นด้วยบทพระคาถาว่า"อเสวนา จ พาลานัง  เป็นอาทิ ซึ่ง      แปลว่า อย่าคบคนพาล เป็นต้น ตลอดจนถึงนิพพานสัจฉิกิริยา    การทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานฯ  ซึ่งพระองค์ตรัสว่า สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นมงคลทั้งสิ้น   ดังนี้จึงได้พระนามว่า  สัตถา เทวมนุสสานัง  พระองค์เป็นบรมครูทั้งเทวดาและมนุษย์

พุทโธ

            คำว่า  พุทโธ   แปลได้หลายนัย   แต่ในที่นี้จะขอแปลไปในทางที่ว่า  เป็นผู้บานแล้วหรือเบิกบานแล้ว  ที่ว่าบานนั้น เปรียบด้วยดอกประทุมชาติ คือบานเหมือนดอกบัวที่บานแล้วเต็มที่  การที่พระองค์ทรงประกอบความเพียรอยู่ด้วยประการต่างๆ  เมื่อยังไม่ได้บรรลุ   สัมมาสัมโพธิญาณ  เปรียบเหมือนดอกบัวที่ยังตูมอยู่  ต่อรุ่งอรุณแห่งวันวิสาขปุรณมี  พระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว  จึงเปรียบเสมือนดอกบัวที่บานแล้ว บานในเวลารุ่งอรุณแห่งวันวิสาขปุรณมีนั้นเอง นัยที่ว่าเบิกบานนั้น  หมายความว่า เมื่อพระองค์ได้ทรงตรากตรำเป็นเวลาล่วงถึง ๖ พรรษาแล้ว จึงได้มาตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณได้รับผลเป็นองค์ อรหัง และสัมมาสัมพุทโธฯ ดังบรรยายมาข้างต้นแล้ว พระกมลหฤทัยของพระองค์ก็ย่อมผ่องแผ้วเบิกบานเต็มที่ เหตุว่าได้ผลสมปรารถนา   ที่พระองค์ทรงตั้งปณิธานเพียรบำเพ็ญมา  ฉะนี้จึงได้พระนามว่า  พุทโธ

            ขอย้ำอีกหน่อยว่า การที่นำเอาดอกบัวบานมาเทียบความหมาย แห่งคำว่าพุทโธนั้น ก็เพราะเหตุว่าเมื่อปฐมกัลป์เริ่มตั้งศรีษะแผ่นดินขึ้นใหม่ๆ  มีกอบัวเกิดขึ้นพร้อมทั้งมีดอก ๕ ดอก  ท้าวสุธาวาสหยั่งรู้ว่าเป็นนิมิตบอกว่า ในกัลป์นี้จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสโปรดเวไนยสัตว์  ๕  พระองค์  จึงประกาศิตคำว่า นะ, โม, พุท, ธา, ยะ ไว้  ซึ่งมีความหมาย ว่า  นะ  คือพระกกุสันโท  โม  คือ พระโกนาคม  พุท คือพระพุทธกัสสป ธา คือพระสมณะโคดม ยะ คือ พระศรีอาริยเมตไตรย ซึ่งได้ปรากฏเป็นที่นับถือกันมาจนบัดนี้

ภควา

            คำว่า  ภควา  แปลได้หลายนัย  แปลว่าหักก็ได้  แจกก็ได้  ที่ว่าหักนั้นหมายความว่า  พระองค์หักเสียได้ซึ่งสังสารจักร กล่าวคือ  อวิชชา  ตัณหา  อุปาทาน  กรรมอันเป็นเสมือนตัวจักร  อันพัดผันส่งต่อไปยังกันและกัน เป็นกำลังดันให้หมุนเวียนวนว่ายอยู่ในวัฏฏสงสาร มิให้ออกจากภพ ๓ พระองค์หักเสียได้แล้ว  พระองค์จึงพ้นไปจากภพทั้ง ๓  คือ  กามภพ  รูปภพ  อรูปภพ  เสด็จออกสู่นิพพานไป

            ที่ว่า แจก นั้น มีความหมายว่า  เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้อนุตตร-สัมมาสัมโพธิญาณแล้ว พระองค์เป็นสัพพัญญู  ทรงรู้แจ้งธาตุธรรมทั้งปวงหมด จึงสามารถทรงจำแนกแยกแยะธรรมส่วนที่ละเอียดๆ ให้เห็น  เช่น  ทรงจำแนก  ขันธ์  ธาตุ  อายตนะ  จิต  เจตสิก  รูป  นิพพาน  ดังนี้เป็นต้น  ตลอดจนหลักธรรมอื่นๆ ทั้งมวลให้สาวกได้รู้เห็นรับปฏิบัติสืบๆ กันมา



ธรรมคุณ

สวากขาโต  ภควตา  ธัมโมฯ

            ต่อไปนี้เป็นเรื่องธรรมคุณ ธรรมในที่นี้จะกล่าวเฉพาะพระสัทธรรม  คำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ว่า สวากขาโต แปลว่าพระองค์กล่าวแล้วดีนั้น  ก็คือว่า ธรรมที่พระองค์ทรงตรัสสอนนั้น   ล้วนแต่จะเป็นผลส่งให้ผู้ประพฤติปฏิบัติตามได้รับความร่มเย็นเป็นสุขทั้งสิ้น จึงได้ชื่อว่าเป็นธรรมที่พระองค์กล่าวแล้วดี  ดีก็คือไม่มีเสีย คือคำสอนของพระองค์ไม่ให้ทุกข์แก่ผู้ปฏิบัติเลย   มีแต่จะนำไปสู่สุขอย่างเดียว  มีอริยมรรคเป็นข้อสาธกที่ทรงสอนไว้ว่า ความเห็นชอบ ๑, ความดำริชอบ ๑, กล่าววาจาชอบ ๑, ประกอบการงานชอบ ๑, หาเลี้ยงชีพโดยชอบ ๑, ทำความเพียรชอบ ๑, ตั้งสติไว้ชอบ ๑, สมาธิชอบ ๑พิจารณาดูให้ดีจะเห็นธรรมเหล่านี้  ผู้ใดประพฤติได้จะให้ผลไม่เฉพาะแต่ทางธรรม   แม้ในทางโลกก็อำนวยผลดีให้แก่ผู้ปฏิบัติเหมือนกัน  ดังนี้ธรรมที่พระองค์ตรัสสั่งสอนไว้ได้ชื่อว่า  สวากขาตธรรม

            พระสัทธรรมของพระองค์  ได้แบ่งเป็นหมวดใหญ่ๆ ไว้ ๓ หมวด  คือ ปริยัติธรรม ๑ ปฏิบัติธรรม ๑ ปฏิเวธธรรม ๑

            ปริยัติธรรมนั้น  ได้แก่คำสั่งสอนอันเป็นแนวนำไปสู่ปฏิบัติธรรม  ส่วนปฏิบัติธรรมนั้นเป็นคำสอนที่บ่งวิธีการปฏิบัติโดยตรง ซึ่งจะมีผลส่งให้ถึงปฏิเวธธรรม  คือการรู้แจ้งแทงตลอดสภาวะความเป็นจริงทั้งมวล

            สันทิฏฐิโก แปลว่า ธรรมดาคำสอนของพระองค์นั้น ไม่เหมือนสิ่งของอื่นๆ  ซึ่งคนหนึ่งแลเห็นแล้วชี้ไปอีกคนหนึ่งจะแลเห็นได้ด้วยกันอย่างนั้น หามิได้ผู้ใดปฏิบัติตาม ผู้นั้นจะเห็นผลได้ด้วยตนเองว่าเป็นอย่างไร

            อกาลิโก ผู้ใดปฏิบัติ  ผู้นั้นย่อมได้รับผลเสมอโดยไม่มีจำกัดเวลาว่ามีเขตนั้นเพียงนี้

            เอหิปัสสิโก เพราะเหตุว่าเป็นของดี ของจริง เมื่อผู้ใดปฏิบัติได้แล้ว จึงเป็นเสมือนสิ่งของที่น่าจะเรียกบอกคนอื่นมาดูว่า นี่  ดี จริง  อย่างนี้

            โอปนยิโก เพราะเหตุว่าการปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์  พบของดีของจริงดังกล่าวมาแล้วนั้นควรจะน้อมนำเอาของดี ของจริง ที่พบแล้วนั้นเข้ามาไว้ในตน คือยึดถือปฏิบัติเรื่อยไปไม่ละวางเสีย

            ปัจจัตตัง  เวทิตัพโพ  วิญญูหิ  แปลว่า  ธรรมของพระองค์นั้น   วิญญูชนจะพึงรู้ได้เฉพาะด้วยตนเอง ข้อนี้ก็คล้ายกับ สันทิฏฐิโก ที่กล่าวข้างต้น ต่างแต่ว่าข้อนั้นกล่าวถึงอาการเห็น ส่วนข้อนี้กล่าวถึงอาการรู้ กล่าวคือผู้ปฏิบัติตามธรรมของพระองค์ จะรู้ว่าธรรมของพระองค์ดีจริงอย่างไร และเมื่อปฏิบัติตามแล้วได้ผลเป็นอย่างไร ดังนี้ย่อมเกิดจากการปฏิบัติของตนเอง ด้วยใจของตนเอง ผู้อื่นจึงพลอยรู้ด้วยไม่ได้ มันเป็นรสทางใจ หากใจผู้ปฏิบัติเขาเยือกเย็นเป็นสุขสักปานใด แม้เขาจะเอามาเล่าให้เราฟัง ใจเราก็จะไม่เย็นอย่างเขา ตามคำที่เขาเล่าบอกนั้นได้ จะไม่ผิดอะไรกัน คนหนึ่งได้กินแกงชนิดหนึ่งมาเล่าให้เราฟังว่า มันอร่อยอย่างนั้นอย่างนี้ ก็จะไม่ทำให้เราเปิบข้าวเปล่า โดยนึกเอา  รสแกงที่เขาว่านั้นมาประสมให้ได้รสอร่อยอย่างเขาว่านั้นได้



สังฆคุณ

            สุปฏิปันโนภควโต สาวกสังโฆ สาวกของพระองค์ผู้มีพระภาคเจ้านั้น ย่อมมี ๒ จำพวก คือ ปุถุชนสาวก ๑ อริยสาวก ๑ ปุถุชนสาวกนั้น ได้แก่ผู้ที่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย แต่ยังมิได้บรรลุธรรมวิเศษอันใด  ยังเป็นปุถุชนอยู่ จึงได้ชื่อว่าปุถุชนสาวก แต่สาวกตามความหมายในบท สังฆคุณที่ยกขึ้นมากล่าวข้างต้นนี้  เฉพาะแต่อริยสาวกเท่านั้น อริยสาวก แปลว่า สาวกผู้ประเสริฐ  คือสาวกที่ได้บรรลุธรรมวิเศษแล้ว  พ้นจากฐานะปุถุชนแล้ว  เรียกตามโวหารในทางศาสนาว่าเป็นชั้นอริยะ สาวกชั้นอริยะหรือที่เรียกว่า อริยสาวก นั้น ท่านจัดเป็น ๔ คู่ คือ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล คู่ ๑, สกิทาคามิมรรค  สกิทาคามิผล คู่ ๑, อนาคามิมรรค  อนาคามิผล คู่ ๑, อรหัตตมรรค อรหัตตผล คู่ ๑, แต่ถ้าจัดเป็นรายบุคคล  ท่านจัดเป็น ๘ คือ  โสดาปัตติมรรค ๑, โสดาปัตติผล ๑, สกิทาคามิมรรค ๑, สกิทาคามิผล ๑, อนาคามิมรรค ๑, อนาคามิผล ๑, อรหัตตมรรค ๑, อรหัตตผล ๑, จึงรวมเป็นอริยบุคคล ๘ จำพวกด้วยกัน แบ่งเป็นชั้นๆ ตามลำดับธรรมวิเศษที่ได้บรรลุ

            พระอริยบุคคลบำเพ็ญกิจถูกส่วน  เพ่งที่ศูนย์กลางกายเป็นดวงใสจนแลเห็น กายมนุษย์  กายทิพย์  กายรูปพรหม  กายอรูปพรหม  จนถึงกายธรรมเป็นชั้นที่ ๕ เป็นชั้นๆ ไป  โดยนัยดังที่กล่าวต่อไปนี้คือชั้นต้นดูดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ ที่ศูนย์กลางกายมนุษย์ให้เป็นดวงใส  แล้วขยายให้กว้างออกไป  วัดผ่าศูนย์กลางได้ ๒ วา, หนา ๑ คืบ, ใสเหมือนกระจกเงาส่องหน้า  นี่เป็นปฐมฌาน แล้วกายธรรมนั่งบนนั้น  ดังนี้เรียกว่ากายธรรมเข้าปฐมฌาน   แล้วเอาตาธรรมกายที่นั่งบนฌานนั้น เพ่งดูดวงธรรมที่ศูนย์กลางกายทิพย์ เห็นเป็นดวงใสแล้วขยายส่วนเท่ากันนั้น  ธรรมกายน้อมเข้าฌานที่ ๒ นั้น   แล้ว ฌานที่ ๑ ก็หายไป ฌานที่ ๒ มาแทนที่ ธรรมกายนั่งบนนั้น นี้ชื่อว่าธรรมกาย เข้าฌานที่ ๒ ทำนองเดียวกันนั้นต่อๆ ไป  ในกายรูปพรหม กายอรูป-พรหม (นี่เป็นส่วนรูปฌาน) ต่อจากนี้ไป ให้ใจธรรมกายน้อมไปว่าละเอียดกว่านี้มี  ฌานที่ ๔ ก็หายไป  ฌานที่ ๕ เกิดขึ้นแทนที่  เรียกว่า อากาสานัญจายตนะ (ใสสว่าง) เมื่อธรรมกายนั่งอยู่บนฌานที่ ๕ ดังนี้แล้ว  ใจธรรมกายน้อมไปว่าละเอียดกว่านี้มีอีก  ฌานที่ ๕ ก็หายไป  ฌานที่ ๖ มาแทนที่ เรียกว่า วิญญาณัญจายตนะ (ใสยิ่งกว่านั้น)  ธรรมกายนั่งอยู่บนฌานที่ ๖ แล้วนั้น  ใจกายธรรมน้อมไปอีกว่าละเอียด กว่านั้นมี  ฌานที่ ๖ ก็หายไป ฌานที่ ๗ มาแทนที่ เรียกว่า อากิญ- จัญญายตนะ (ใสยิ่งขึ้นไปอีก) ธรรมกายนั่งบนฌานที่ ๗ นั้นแล้ว ใจธรรมกายก็น้อมไปอีกว่าละเอียดกว่านี้มีอีก ฌานที่ ๘ ก็บังเกิดขึ้นทันทีเรียกว่า เนวสัญญานาสัญญายตนะ  รู้สึกว่าละเอียดจริง ประณีตจริง  นี่เรียกว่าเข้าฌานที่ ๑ - ๘ โดยอนุโลม  แล้วย้อนกลับจับแต่ฌานที่ ๘ นั้น ถอยลงมาหาฌานที่ ๗ - ๖ - ๕ - ๔ - ๓ - ๒ - ๑ เรียกว่าปฏิโลม ทำดังนี้ ๗ หน ธรรมกายจึงคงไปอยู่บนฌานที่ ๘ ในระหว่างเข้าฌานนับตั้งแต่ ๑ ถึง ๘ นั้น ตาธรรมกายดูทุกขสัจจ์เห็นชัดแล้ว  ดูสมุทัยสัจจ์เห็นชัดแล้ว  ดูนิโรธสัจจ์เห็นชัดแล้ว  ดูมรรคสัจจ์  เมื่อถูกส่วนเข้าธรรมกายตกศูนย์เป็นดวงใส  วัดผ่าศูนย์กลางได้ ๕ วา  ในไม่ช้าศูนย์นั้นกลายกลับเป็นธรรมกาย หน้าตักกว้าง ๕ วา สูง ๕ วา  นี่เป็นพระโสดาแล้ว แล้วธรรมกายโสดานั้นเข้าฌาน  แล้วพิจารณา อริยสัจจ์ ๔ ในกายทิพย์ทำนองเดียวกับที่กล่าวมาแล้วนั้น เมื่อถูกส่วนธรรมกายโสดาตกศูนย์  วัดผ่าศูนย์กลางได้ ๑๐ วา สูง ๑๐ วา  มีชื่อว่า พระสกิทาคามี แล้วธรรมกายเข้าฌาน และพิจารณาอริยสัจจ์ในกายรูปพรหม ทำนองเดียวกันนั้นเมื่อถูกส่วนธรรมกายสกิทาคาตกศูนย์  วัดผ่าศูนย์กลางได้ ๑๕ วา  แล้วกลับเป็นธรรมกาย  หน้าตัก ๑๕ วา สูง ๑๕ วา  มีชื่อว่า  พระอนาคามี แล้วเอาธรรมกายของพระอนาคามี  เข้าฌานพิจารณาอริยสัจจ์ ๔ ในกายอรูปพรหม  เห็นชัดเช่นเดียวกันกับที่กล่าวมา เมื่อถูกส่วนธรรมกายพระอนาคามีตกศูนย์ วัดผ่าศูนย์กลางได้ ๒๐ วา  แวบเดียวกลับเป็นธรรมกาย  หน้าตักกว้าง ๒๐ วา สูง ๒๐ วา นี้เป็นพระอรหันต์แล้ว

            ที่ว่าธรรมกายนั้น สัณฐานเป็นรูปพระพุทธปฏิมากร เกตุดอก-บัวตูมสีขาว  เป็นเงาใสเหมือนกระจกส่องหน้า  ชั้นพระโสดา ละกิเลสได้ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ  วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ที่ท่านละสักกาย-ทิฏฐิได้ก็โดย ท่านพิจารณาเห็นชัดว่า สังขารร่างกายนี้เหมือนเรือนที่อาศัยอยู่ชั่วคราว  ไม่ช้าก็จะแตกทำลายไป จะยึดถือเอาเป็นตัวเป็นตนมิได้ เป็นสักแต่ธาตุทั้งหลายประสมส่วนกันเข้า จึงเป็นรูปเป็นนาม ย่อม แปรผันไปตามลักษณะของมัน ไม่ยืนยงคงที่ ถ้าไปยึดถือเป็นตัวเป็นตนก็รังแต่จะนำความทุกข์มาให้  ดังที่กล่าวมานี้  เป็นอนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา แต่ส่วนธรรมกายนั้นท่านเห็นว่าเป็น นิจจัง สุขัง อัตตา ท่านจึงไม่แยแสต่อกายมนุษย์  โดยเห็นว่าเป็นของไม่มีสาระดังกล่าวข้างต้น  ท่านจึงข้ามพ้นสักกายทิฏฐิไปได้

            ที่ท่านละวิจิกิจฉาได้  ก็ด้วยท่านเข้าถึงธรรมกายแล้ว ถอดกายทั้ง ๔ ซึ่งเป็นโลกีย์ ถอดเป็นขั้นออกไปเสียได้แล้ว ท่านจึงหมดความกินแหนงสอดแคล้วในพระรัตนตรัย  เพราะท่านเป็นตัวพระรัตนตรัยเสียแล้ว

            ที่ท่านละสีลัพพตปรามาสได้นั้น ก็เพราะเมื่อท่านเป็นตัวพระ-  รัตนตรัยเสียเช่นนี้แล้ว  ศีลและวัตรใดอันเป็นฝ่ายมิจฉาทิฏฐิ  นอกพระพุทธศาสนา ไม่มีในท่านแล้ว จึงได้ชื่อว่าท่านพ้นแล้วจากสีลัพพตปรามาส คือการยึดมั่นซึ่งศีลและวัตรนอกพระพุทธศาสนา

            ชั้นพระสกิทาคา นอกจากกิเลส ๓ อย่าง ดั่งที่พระโสดาละได้แล้วนั้น  ยังละกามราคะ  พยาบาท  อย่างหยาบได้อีก ๒ อย่าง 

            กามราคะ ได้แก่ความกำหนัดยินดีในวัตถุกามและกิเลสกาม  พยาบาท คือ การผูกใจโกรธ

            พระอนาคา ละกามราคะ  พยาบาท  คั่นละเอียดได้

            พระอรหันต์ละกิเลสทั้ง ๕ ดังกล่าวมาแล้วนั้นได้โดยสิ้นเชิงแล้ว  ยังละสังโยชน์เบื้องบนได้อีก ๕ คือ รูปราคะ ความกำหนัดยินดีในรูปฌาน  อรูปราคะ  ความกำหนัดยินดีในอรูปฌาน  มานะ  ความถือตน  อุทธัจจะ  ความฟุ้งซ่าน อวิชชา ความมืด ความโง่ ไม่รู้อดีต ปัจจุบัน และอนาคตของสังขาร ไม่รู้ปฏิจจสมุปปาทธรรม และอริยสัจจ์ จึงรวมเป็น ๑๐ ที่พระอรหันต์ละได้

            พระอริยบุคคล ๘ ดังกล่าวมาข้างต้นนี้  ได้ชื่อว่า อริยสาวก

            สุปฏิปันโน ท่านปฏิบัติดีแล้ว คือปฏิบัติไปตามแนวมัชฌิมา-   ปฏิปทา  เป็นทางสายกลาง ตามที่สมเด็จพระบรมศาสดาดำเนินมาแล้ว ไม่หย่อนเกินไป  ไม่ตึงเกินไป  จึงได้ชื่อว่าปฏิบัติดี

            อุชุปฏิปันโน ปฏิบัติแล้วตรง คือความปฏิบัติท่านมุ่งตรงต่อ     พระนิพพาน  ไม่วอกแวกไปทางอื่น

            ญายปฏิปันโน ปฏิบัติมุ่งเพื่อรู้ธรรมที่จะออกจากภพ ๓ โดยแท้

            สามีจิปฏิปันโน  ปฏิบัติอย่างดีเลิศ

            เพราะท่านปฏิบัติเพื่อบรรลุถึงพระนิพพานจริงๆ ไม่ใช่เพื่อเหตุอื่น  จึงสมควรนับว่าเป็นการปฏิบัติอย่างดีเลิศ

            อาหุเนยโย     จึงเป็นผู้ควรเคารพสักการะ
            ปาหุเนยโย      จึงเป็นผู้ควรต้อนรับ
            ทักขิเณยโย      จึงเป็นผู้ควรรับของที่เขาทำบุญ

            อัญชลีกรณีโย   จึงสมควรกราบไหว้

            อนุตตรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสส เป็นเนื้อนาบุญอันเลิศ ไม่มีอื่นจะดีกว่าอีกแล้ว  นี่เป็นเรื่องสังฆคุณ

            เมื่อเรารู้แนวปฏิบัติของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระ-สาวกดังกล่าวมาข้างต้นนี้แล้ว  เรามีหน้าที่จะต้องพิจารณาไตร่ตรองดูว่า  เราจะทำอย่างไร เราเพียงท่องจำ  อิติปิ  โส  ภควา ฯ ไว้กระนั้นหรือ  หรือจะพยายามนึกคำแปลไว้ให้เข้าใจด้วย และระลึกถึงพระคุณเหล่านี้เนืองๆ ดังนี้หรือ เราไม่พึงกระทำอะไร ยิ่งไปกว่านี้หรือ ในปัญหาเหล่านี้ขอให้เราส่งใจไประลึกถึงพระโอวาทในเรื่องบูชา บูชามี ๒ อย่าง  อามิสบูชา คือบูชาด้วยเครื่องสักการะอย่างหนึ่ง ปฏิบัติบูชา คือ  บูชาด้วยความปฏิบัติอย่างหนึ่ง ในการบูชาทั้ง ๒ อย่างนี้ พระองค์ทรงสรรเสริญว่าปฏิบัติบูชา ดีกว่าอามิสบูชา เมื่อคิดทบทวนดูเหตุผลในพระโอวาทข้อนี้แล้ว เราจะเห็นได้ชัดทีเดียวว่า พระองค์มีพระ-ประสงค์จะให้พวกเรามีความเพียรพยายาม ปฏิบัติเจริญรอยตามพระองค์มากกว่าที่จะมามัวบูชาพระองค์อยู่ หาไม่พระองค์จะตรัสเช่นนั้นทำไม  และโดยนัยอันนี้เองจึงเป็นที่เห็นได้ว่า แม้เวลานี้จะเป็นกาลล่วงมาช้านานจากที่พระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ก็ไม่มีอะไรเป็นข้อห้ามว่า ผู้ที่ปฏิบัติตามจะไม่ได้รับผลอย่างที่ท่านได้รับ นอกจากคำกล่าวอ้างของคนเกียจคร้าน, ข้อนี้มีคำว่า อกาลิโก ในบทธรรมคุณนี้เองเป็นหลักฐานยันอยู่ว่าธรรมของพระองค์ ผู้ใดปฏิบัติตาม ย่อมจะเกิดผลทุกเมื่อ  ไม่มีขีดขั้น พระอริยสาวกทั้งหลายนั้น ฐานะเดิมก็เป็นมนุษย์ปุถุชนนี้เอง  แม้องค์สมเด็จพระบรมศาสดาก็เช่นกัน มิใช่ เทวดา อินทร์ พรหม ที่ไหน แต่ที่เลื่อนขึ้นสู่ฐานะเป็นพระอริยะได้ ก็เพราะการปฏิบัติเท่านั้น แนวปฏิบัติอย่างไหนถูก พระองค์สอนไว้ละเอียดหมดแล้ว ปัญหาจึงเหลือแต่ว่าพวกเราจะปฏิบัติกันจริงหรือไม่เท่านั้น

            ดังที่พรรณนามานี้ ก็จะเห็นคำตอบในปัญหาข้างต้นได้แล้วว่า  เพียงแต่ท่องจำ อิติปิโส ภควา ฯ ไว้ หรือเพียงแต่ระลึกถึงพระคุณเหล่านั้นไว้  จะยังไม่แก่พระประสงค์ของพระองค์  กิจที่เราควรทำอย่างยิ่งจึงอยู่ที่การปฏิบัติของท่าน ตามแนวปฏิบัติของท่าน

            ฉันทะ  วิริยะ  จิตตะ  วิมังสา  นี้เรียกว่า อิทธิบาท ๔  เป็นหัวใจแห่งความสำเร็จทั้งมวล  แปลอย่างจำได้ง่ายว่า  ปักใจบากบั่นวิจารณ์ทดลองไม่ว่าจะทำกิจการใด  ถ้าประกอบด้วย ๔ อย่างนี้  เป็นสำเร็จทั้งสิ้น ว่าโดยเฉพาะในการบำเพ็ญภาวนา ๑.ต้องปักใจรักการนี้จริงๆ  ประหนึ่งชายหนุ่มรักหญิงสาวใจจดจ่อต่อหญิงคู่รักฉะนั้น   ๒.ต้องบากบั่นพากเพียรเอาจริงเอาจัง  ๓.วิจารณ์ตรวจดูการปฏิบัติให้ถูกต้องตามแนวสอนของอาจารย์ให้ดีที่สุด ๔.ทดลองในที่นี้ได้แก่หมั่นใคร่ครวญสอดส่องดูว่า  วิธีการที่ทำไปนั้นมีอะไรขาดตกบกพร่องบ้าง รีบแก้ไข อย่างนั้นไม่ดีเปลี่ยนอย่างนี้ ลองดูใหม่ เช่นนั่งภาวนาในที่นอนมักจะง่วง ก็เปลี่ยนมานั่งเสียที่อื่นเป็นต้น ข้อสำคัญให้ยึดแนวสอนเป็นหลักไว้ อย่าออกนอกทาง ๔ อย่างนี้ เรียกว่า อิทธิบาท  เป็นเครื่องที่จะช่วยให้ความสำเร็จในกิจทั้งปวง



ว่าด้วยรัตนะ

            รัตนัตตยัง  นั้น แปลว่า หมวดสามแห่งรัตนะ คือ พุทธรัตนะ  ธรรม-รัตนะ สังฆรัตนะ สามรัตนะนี้ประเสริฐกว่าสวิญญาณกรัตนะ  และอวิญญาณารัตนะที่มีในไตรภพ ด้วยเป็นของทำความยินดีให้แก่โลกทั้งสาม  คือ กามโลก  รูปโลก  อรูปโลก  กามโลกมีรัตนะที่ใช้กันอยู่  เช่น เพชรหรือแก้วทั้งเป็นและตาย ที่เป็นดังรัตนะเจ็ดของจักรพรรดิ  ที่ตายดังรัตนะที่นำมาจากต่างประเทศโดยมาก รูปโลก ก็มีรัตนะสำหรับให้เกิดแสงสว่างในโลกของเขา อรูปโลก ก็มีรัตนะสำหรับให้เกิดแสงสว่างในโลกของเขาดุจกัน  ตั้งแต่เทวดาขึ้นไปมีรัตนะทั้งเป็นและตาย  เป็นเครื่องให้เทวดาและพรหมอรูปพรหมอาศัยรัตนะเหล่านี้ และเป็นของทำความยินดีและปลื้มใจ  ให้เกิดขึ้นแก่มนุษย์ เทวดา พรหม อรูปพรหม  ได้เท่ากำลังของรัตนะนั้นๆ ดังนี้  เป็นรัตนะส่วนโลก ที่เกิดของรัตนะ ๓ ส่วนธรรมต้องบรรยายแค่เหตุไป รัตนะทั้ง ๓ นี้เป็นรัตนะ ที่เป็น ไม่ใช่รัตนะที่ตาย แต่ที่เกิดรัตนะ ๓ นั้น ทำให้มีขึ้นได้ด้วยความเพียร ระวังกาย, วาจา, ใจ ให้บริสุทธิ์  เพียรละ กาย, วาจา, ใจ ไม่บริสุทธิ์เสีย  เพียรทำกาย, วาจา, ใจ  บริสุทธิ์ให้เกิดมีขึ้น  เพียรรักษากาย, วาจา, ใจ ที่บริสุทธิ์แล้ว  ให้คงที่และทวีขึ้น  ความที่มีขึ้นแล้วแห่งความบริสุทธิ์นั้น  ให้รักษาไว้อย่าให้หายไปเสีย นึกถึงความบริสุทธิ์นั้นแหละร่ำไป จนใจของตนบริสุทธิ์เหมือนกับความบริสุทธิ์แล้ว ก็จะเห็นความบริสุทธิ์ใสปรากฏอยู่ตรงกลางของกายมนุษย์  เหนือสะดือ ขึ้นมา ๒ นิ้ว ตรงนั้นเรียกว่าศูนย์ เป็นดวงประมาณเท่าฟองไข่ขาวใสบริสุทธิ์ดุจกระจกที่ส่องดูของหน้าในเวลาแต่งหน้าและตัว  ประมาณของดวงไม่คงที่ บางทีโตกว่าเล็กกว่าก็ได้อย่างโตไม่เกินดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ อย่างเล็กไม่เกินดวงตาดำข้างใน นี้เป็นเครื่องกำหนดของดวง  ดวงนั้นแหละคือปฐมมรรค จำเดิมแต่เห็นดวงปฐมมรรคแล้ว  ให้เอาใจของตนจดอยู่ที่ศูนย์กลางดวงนั้นเสมอในอิริยาบถทั้ง ๔ จนกระทั่งใจของตนนั้นไม่ไปจดในที่อื่น หยุดอยู่ที่กลางดวงปฐมมรรคเสมอ เมื่อใจหยุดได้แน่นอนแล้ว ก็ขยับใจ นั้นเข้าไปในศูนย์กลางของดวง ก็จะเห็นว่างประมาณเท่าเมล็ดโพธิ์ หรือเมล็ดไทรที่ศูนย์กลางของดวงนั้น  ในเมื่อส่งเข้าไปในกลางว่างเต็มทั้งคิด ทั้งจำ ทั้งเห็นแล้ว  ก็จะเห็นกายทิพย์ของตัวเองในกลางของว่างนั้น เห็นดังนี้ชื่อว่าเห็นกายในกาย  คือ กายทิพย์ในกายมนุษย์ แล้วเข้าดูดวงปฐมมรรคในกายทิพย์ที่ตรงศูนย์ของกายทิพย์อีก ก็จะเห็นเป็นดวงใสในกายทิพย์เท่าฟองไข่แดงของไก่  ใสเหมือนกระจกส่องเงาหน้าอีก แล้วเอาเห็น, จำ, คิด, รู้ จดลงที่ศูนย์กลางของดวง ทำแบบเดียวกับทำมาแล้ว  ก็จะเห็นกายรูปพรหมในกลางของดวงนั้น  กายนั้นเหมือนกายของตัวเองจึงใช้ได้  ถ้าไม่เหมือนกายของตนเองทำใหม่ จนเห็นเหมือนกายของตนเองจริงๆ  แล้ว  ชื่อว่าเห็นกายในกาย  คือ กายรูปพรหมในกายทิพย์ แล้วเข้าไปดูดวงปฐมมรรคในกายรูปพรหมต่อไป  ก็จะเห็นเป็นดวงใสในกลางกายรูปพรหม  ดุจที่เห็นมาแล้ว  เอาเห็น, จำ, คิด, รู้ จดลงที่ศูนย์กลางดวง  ก็จะเห็นกายอรูปพรหมในกลางดวงนั้น  รูปเหมือนตัวเองจึงใช้ได้  ถ้าไม่เหมือนทำใหม่จนเหมือน แต่พอเหมือนแล้วใช้ได้ เรียกว่าเห็นกายในกาย คือเห็นกายอรูปพรหม แล้วเข้าไปดูดวงปฐมมรรคในกายอรูป-พรหมต่อไป  ก็จะเห็นเป็นดวงใสในกลางกายอรูปพรหมดุจเห็นมาแล้ว   เอาเห็น, จำ, คิด, รู้ จดลงที่ศูนย์กลางดวง ก็จะเห็นกายธรรมในกลางดวงนั้น รูปร่างเหมือนตัวเองแต่ใสเหมือนดังแก้ว เกตุดอกบัวตูม  แล้วเอาเห็น, จำ, คิด, รู้  เข้าหยุดที่ศูนย์กลางของกายธรรม ที่ตรงนั้นเป็นดวงใสเท่าฟองไข่แดงของไก่โตได้เล็กได้ ใสดุจเพชรชื่อว่าธรรมสำหรับทำให้เป็นธรรมกาย ธรรมสิ่งนี้แหละสำหรับรักษา เห็น, จำ, คิด, รู้  ให้บริสุทธิ์และให้หยุดด้วย  ต้องให้หยุดให้มากที่สุด เท่าที่บังคับให้หยุดได้  หยุดให้มากที่สุดก็เจริญที่สุด  หยุดต้องมีกลเม็ดหยุดดับหยาบไปหาละเอียดร่ำไป ไม่ใช่หยุดแล้วไม่ทำอะไร ทำหยุดในหยุดนั้นและหนักขึ้นทุกที  ไม่มีเวลาหย่อนจึงจะเจริญถึงที่สุดเร็ว ธรรมกายเป็นกายที่ ๕ นั้น  เป็นกายสำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา ผู้ใดทำกายนี้ให้เป็นขึ้นได้  ผู้นั้นก็ชื่อว่าเป็นพระพุทธเจ้าชื่อว่าอนุพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้า ตามเสด็จ พระพุทธเจ้า คำว่าพระพุทธเจ้ามีหลายจำพวก เป็นสัพพัญญูพุทธเจ้าบ้าง ปัจเจกพุทธเจ้าบ้าง สาวกพุทธเจ้าบ้าง สุพุทธเจ้าบ้าง พหุสุตพุทธเจ้าบ้าง อนุพุทธเจ้าบ้าง ดังนี้ ตรงกับกระแสพุทธฎีกาว่า เราตถาคตกล่าวว่า  ท่านผู้สดับมากนั้นเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ชื่อว่าพหุสุตพุทธเจ้าฯ เมื่อเป็นธรรมกาย คือเป็นพระพุทธเจ้าต้องเรียนวิชาของพระพุทธเจ้าต่อไป  ถ้าจะเรียนต่อไป ต้องรู้จักธรรมที่ทำให้เป็นกายนั้นๆ คือ ธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ และธรรมที่ทำให้เป็นกายธรรม ดังแสดงมาแล้วข้างต้น ธรรมที่ทำให้เป็นกายนั้นๆ มีรูปพรรณสัณฐานสีสันวรรณะละม้ายคล้าย คลึงกัน ต่างกันแต่ธรรม ที่ทำให้เป็นธรรมกายโตมากกว่าแต่ส่วนเนื้อที่ละเอียด และความใสนั้น ก็ละม้ายกันทั้ง ๔ กาย แต่กายธรรมละเอียดและใสกว่าทั้ง ๔ ส่วน ที่ตั้งของธรรม ที่ทำให้เป็นกายนั้นๆ คือ ตรงกลางตัวตัดขาดแค่สะดือบังเวียนเข้าไปที่ศูนย์กลางพอดี ไม่เหลื่อมซ้าย ขวา หน้า หลัง สำหรับสัตว์ที่จะไปเกิดมาเกิด ต้องอาศัยศูนย์กลางนั้นด้วยกันทั้งหมด จึงได้ชื่อว่า ที่ ๑๐ เทวดา, พรหม, อรูปพรหม, ตลอดพระนิพพาน ใช้เป็นแบบเดียวกันทั้งสิ้น ตรงที่ ๑๐ นั้นว่าง ประมาณเท่าเมล็ดโพธิ์   หรือเมล็ดไทร เป็นอากาศว่าง เรียกว่ากำเนิดเดิมก็ถูก ที่กำเนิดเดิมนั้นมีธรรมดวงหนึ่งเท่าฟองไข่แดงไก่  สัณฐานกลม  เนื้อละเอียด  สีขาวใส  หุ้มกำเนิดเดิมนั้นโดยรอบ กำเนิดเดิมนั้นอยู่ที่ศูนย์กลางข้างในพอดี ธรรมดวงนั้นแหละชื่อว่ามนุษยธรรมๆ ที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ อยู่ศูนย์กลางของกายมนุษย์ มีเหมือนกันทุกกายทั้งสุดหยาบสุดละเอียด  มีชื่อตามกายนั้นๆ เช่น ธรรมที่ทำให้เป็นกายทิพย์  ถ้าธรรมนี้ดับไป  กายก็ต้องแตกจากกัน  ตั้งอยู่ไม่ได้เพราะหมดธรรมที่รักษา เหมือนเครื่องยนต์ที่ปลดเอาหม้อไฟออกเสีย เครื่องก็ต้องดับทันทีฉันนั้น  ถ้าธรรมกายจะทำวิชชาต่อไป  ต้องเอา  เห็น, จำ ,คิด, รู้  ของธรรมกาย  จดลงที่ศูนย์กลางของธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์นั้น  แต่พอถูกส่วนเข้าเท่านั้น ธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์นั้น  ก็ขยายส่วนออกไปประมาณวัดผ่าเส้นศูนย์กลาง ๘ ศอก กลมโดยรอบ ๖ วา หนาคืบหนึ่ง  ใสเหมือนกระจกเงาส่องหน้า  ธรรมกายก็เข้านั่งอยู่บนฌานนั้น  เหมือนนั่งอยู่บนแผ่นกระจกเป็นบัลลังก์  จะไปไหนก็คล่องแคล่วเหมือนใจนึก  นี้เป็นฌานที่ ๑  ถ้าจะทำต่อไป  ธรรมกายต้องส่องเห็น, จำ, คิด, รู้  ไปจดเข้าที่ศูนย์กลางของธรรม  ที่ทำให้เป็นกายทิพย์นั้นแต่พอถูกส่วนเข้า ธรรมที่ทำให้เป็นกายทิพย์นั้นก็ขยายส่วนออกไปเท่าฌานที่ ๑ วัดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๘ ศอก ปริมณฑลโดยรอบ ๖ วา  หนาคืบหนึ่ง  ใสเหมือนกระจกเป็นบัลลังก์  ธรรมกายก็เข้านั่งอยู่บนฌานนั้นเหมือนนั่งอยู่บนแผ่นกระจก  จะไปไหนคล่องแคล่ว เหมือนใจนึก นี่เป็นฌานที่ ๒ ถ้าจะทำต่อไปธรรมกายต้องส่องเห็น, จำ, คิด, รู้  ไปจดเข้าที่ศูนย์กลางของธรรมที่ทำให้เป็นกายรูปพรหมนั้น แต่พอถูกส่วนเข้าธรรมที่ทำให้เป็นกายรูปพรหม ก็ขยายส่วนออกไปเท่าฌานที่ ๑ หรือที่ ๒ แล้วธรรมกายเข้านั่งอยู่บนฌานนั้นจะไปไหนคล่องแคล่วเหมือนใจนึก  นี้เป็นฌานที่ ๓ ถ้าจะทำต่อไป  ธรรมกายต้องส่งเห็น, จำ, คิด, รู้  ไปจดเข้าที่ศูนย์กลางของธรรมที่ทำให้เป็น กายอรูปพรหมนั้น  แต่พอถูกส่วนเข้า  ธรรมที่ทำให้เป็นกายอรูปพรหม  ก็ขยายส่วนออกไปเท่าฌานที่ ๑ หรือที่ ๒ ที่ ๓  ธรรมกายก็เข้านั่งอยู่บนฌานนั้น  จะไปทางไหนได้ตามใจนึก  จบรูปฌาน  ทำอรูปฌานต่อไป  ธรรมกายที่นั่งอยู่บนจตุตถฌานนั้นต้องส่งเห็น, จำ, คิด, รู้ ไปจดลงที่ตรงศูนย์ว่างกลางปฐมฌาน  แต่พอถูกลงส่วนเข้าศูนย์ว่างกลางปฐมฌานนั้น   ก็จะขยายส่วนออกวัดผ่าเส้นศูนย์กลาง ๘ ศอก  โดยรอบ ๖ วา หนา ๑ คืบ ใส, กายธรรม  ก็เข้าไปนั่งอยู่บนศูนย์กลางของอรูปฌานแบบเดียวกันกับรูปฌาน นี่เรียกว่า อากาสานัญ- จายตนะ  ทำต่อไป  ธรรมกายต้องส่งเห็น,จำ ,คิด รู้ ไปจดเข้าที่รู้ในว่างของศูนย์กลางทุติยฌาน  แต่พอถูกส่วนเข้ารู้ในศูนย์ว่างของทุติยฌานนั้น  ก็ขยายส่วนออกไปเท่ากับอากาสานัญจายตนฌานนั้น  ธรรมกายก็เข้าไปนั่งอยู่บนกลางของวิญญานัญจายตนฌานนั้น ทำต่อไปธรรมกายที่นั่งอยู่บนฌานนั้นต้องเอา เห็น, จำ, คิด, รู้ เข้าไปจดที่รู้อันละเอียดในที่ว่างศูนย์กลางของตติยฌานแต่พอถูกส่วนเข้า รู้อันละเอียดในตติยฌาน ฌานนั้นก็ขยายส่วนออกไป เท่ากันกับวิญญา-นัญจายตนฌานนั้น ธรรมกายก็เข้าไปนั่งอยู่บนอากิญจัญญายตน-ฌานนั้น ทำต่อไป ธรรมกายต้องเอา เห็น, จำ, คิด, รู้ ไปจดเข้าที่เหตุว่างกลางของจตุตถฌาน จดเข้าที่ตรงรู้ก็ใช่ ไม่รู้ก็ใช่ แต่พอถูกส่วนเข้า  รู้ละเอียดและประณีตนั้น ก็ขยายส่วนออกไป เท่ากันกับอากิญ-จัญญายตนฌานนั้น ธรรมกายเข้านั่งบนเนวสัญญานาสัญญายตน-ฌานนั้น  (เข้าดั่งนี้เป็นอนุโลม)  เมื่อเข้าเป็นอนุโลมเป็นอย่างไร เมื่อจะปฏิโลมถอยกลับก็ต้องให้ตรงกับอนุโลม  อย่าให้คลาดเคลื่อน ต้องให้ตรงเป็นแบบเดียวกันให้จงได้  จึงจะเป็นอันถูกต้องตามแบบ

            ธรรมกายนั้นแหละ  ชื่อ ว่า โคตรภูบุคคล  ถ้าจะให้เป็นอริยบุคคลต่อไป  ธรรมกายต้องเข้าสมาบัติ ๘ ในระหว่างเข้าสมาบัตินั้น  ตาธรรมกายต้องดูตาย, ดูเจ็บ, ดูแก่, ดูเกิด  ของมนุษย์  ให้เห็นตามความเป็นจริง ของทุกข์  สมุทัย  นิโรธ  มรรค  ถ้ายังไม่เห็นตามความเป็นจริง  ต้องดูไปอีก แต่พอเห็นถูกส่วนเข้าเท่านั้นธรรมกาย ตกศูนย์  วัดผ่าเส้นศูนย์กลางของศูนย์นั้น ๕ วา  แล้วศูนย์นั้นกลับเป็นธรรมกายหน้าตัก ๕ วา เป็นพระโสดา  ทำต่อไป ธรรมกายของพระโสดานั้นเข้าสมาบัติ ๘ ในระหว่างเข้าสมาบัตินั้น  ต้องเอาตาธรรมกายของพระโสดา  ดูตาย, ดูเจ็บ, ดูแก่, ดูเกิด  ของเทวกาย  เหตุให้เกิดและความดับเหตุให้ดับ  ให้เห็นตามความเป็นจริงของทุกข์,   สมุทัย, นิโรธ, มรรค   ถ้ายังไม่เห็นตามจริงต้องดูต่อไปอีก  แต่พอเห็นถูกส่วนเข้าเท่านั้น  ธรรมกายของพระโสดาตกศูนย์  วัดผ่าศูนย์กลางของศูนย์นั้น  ๑๐ วา  แล้วศูนย์นั้นกลับเป็นธรรมกายหน้าตัก ๑๐ วา เป็นพระสกิทาคา ทำต่อไปธรรมกายของพระสกิทาคานั้น เข้าสมาบัติ ๘ ในระหว่างเข้าสมาบัตินั้น ต้องเอาตาธรรมกายของพระสกิทาคา ดูตาย, ดูเจ็บ, ดูแก่, ดูเกิด ของพรหมกาย  เหตุให้เกิดและความดับ และเหตุให้ดับ ให้เห็นตามความเป็นจริง ต้องดูต่อไปอีก แต่พอเห็นถูกส่วนเข้าเท่านั้น  ธรรมกายของพระสกิทาคาก็ตกศูนย์วัดผ่าศูนย์กลางของศูนย์นั้น ๑๕ วา แล้วศูนย์นั้นกลับเป็นธรรมกายหน้าตัก ๑๕ วา เป็นพระอนาคาทำต่อไปธรรมกายของพระอนาคานั้นเข้าสมาบัติ ๘ ในระหว่างเข้าสมาบัตินั้น ต้องเอาตาธรรมกายของพระอนาคาดูตาย, ดูเจ็บ, ดูแก่, ดูเกิด ของอรูปพรหมกาย ทั้งเหตุให้เกิด และความดับทั้งเหตุให้ดับ  ให้เห็นตามความเป็นจริง ของทุกข์,สมุทัย, นิโรธ, มรรค ถ้ายังไม่เห็นตามเป็นจริง ต้องดูไปอีก  แต่พอเห็นถูกส่วนเข้าธรรมกายของพระอนาคาก็ตกศูนย์  วัดผ่าเส้นศูนย์กลางของศูนย์นั้น ๒๐ วา แล้วศูนย์นั้นหายวับ  กลับเป็นธรรมกาย  หน้าตัก ๒๐ วา  เป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์นี้แลถ้าค้นคว้าหาให้เป็นขึ้นด้วยตนเอง ไม่มีผู้ใดแนะนำสั่งสอนอย่างพระสิทธัต-ถะราชกุมารนั้น  นั่นเป็นพระพุทธเจ้า ในศาสนาของท่านเป็นพระ-อรหันต์มากน้อยเท่าไร เป็นสาวกทั้งสิ้น ตั้งต้นแต่    ธรรมกายซึ่งเป็นกายที่ ๕ ตลอดจนถึงพระอรหันต์เป็นที่สุด นี่แหละเป็นตัวพระรัตนตรัย  กายมนุษย์  กายทิพย์ กายรูปพรหม  กายอรูปพรหม ไม่ใช่พระรัตนตรัย จำเพาะแต่ธรรมกายอย่างเดียว เป็นตัวพระรัตนตรัย ในองค์ธรรมกายนั้น  ที่ตรงศูนย์กลางกายของธรรมกายนั้น  มีธรรมดวงหนึ่ง คือ ธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกาย  ธรรมดวงนี้เป็นที่ตั้งที่หยุดของ เห็น, จำ, คิด, รู้ ของธรรมกาย ไม่เผลอ หยุดอยู่ที่ศูนย์กลางของดวงธรรม ที่ทำให้เป็นธรรมกายเสมอไม่เผลอเลยนั้น  เป็นอรหันต์ตรงศูนย์กลางของธรรม  ที่ทำให้เป็นธรรมกายนั้น  มีเป็นศูนย์ว่างเท่าเมล็ดโพธิ์หรือเมล็ดไทร  ตรงนั้นเป็นที่ตั้งที่อยู่ของเห็น, จำ, คิด, รู้  หยุดที่อื่นไม่ถูก ผิดศูนย์และไม่ถูกความจริง ซึ่งเป็นทางไปของพระอริยะทั้งหลาย  ธรรมกายนั้นมีเห็น, จำ, คิด, รู้  เหมือนกันทุกกาย เห็น, จำ, คิด, รู้  ก็ต้องมีดวงเป็นที่ตั้ง เห็น, จำ, คิด, รู้ ดวงเป็นที่ตั้งของเห็นอยู่นอก ดวงเป็นที่ตั้งของจำอยู่ใน ดวงเป็นที่ตั้งของจำอยู่นอก ดวงเป็นที่ตั้งของคิดอยู่ใน ดวงเป็นที่ตั้งของรู้อยู่ในดวงเป็นที่ตั้งของคิดอยู่นอก

ตัวพระรัตนตรัยและการเข้าถึงพระรัตนตรัย

            ที่ได้พรรณนามาข้างต้นนั้น  ว่าด้วยเรื่องคุณพระรัตนตรัยตามบาลีที่ขึ้นต้นด้วย  อิติปิ  โส  ภควา และจบลงด้วยคำว่า โลกัสสาติ  ต่อไปนี้จักแสดงสรุปให้สั้นถึงตัวพระรัตนตรัยโดยตรงว่า  มีอะไรแน่ที่เรียกว่า พระรัตนตรัย และการเข้าถึงพระรัตนตรัยนั้นจะเข้าถึงได้อย่างไร

            รัตนะ  แปลว่า  แก้ว  ในที่นี้หมายเอาแก้วอย่างประเสริฐ  เช่น แก้วมณีโชติ ซึ่งนับถือกันว่าเป็นแก้วมีคุณวิเศษสูงสุด ใครมีไว้ย่อมชื่นชมโสมนัส อิ่มอกอิ่มใจยิ่งกว่าทรัพย์สินอย่างอื่นทั้งหมดในโลก แก้วคือพระรัตนตรัยนี้เหมือนกัน ผู้ใดเข้าถึง ก็ย่อมอิ่มใจ ชื่นใจ  เช่นเดียวกัน

            ร่างกายพระสิทธัตถะ ไม่ใช่พุทธรัตนะ พระสิทธัตถะทรงกระทำความเพียรอยู่ถึง ๖ พรรษา จึงพบรัตนะอันลี้ลับซับซ้อนอยู่ในพระองค์  คือกายธรรมมีสัณฐานเหมือนพระปฏิมากรเกตุดอกบัวตูม มีสีใสเหมือนกระจก ปรากฏอยู่ในศูนย์กลางกาย ที่ว่านี้มีหลักฐานในอัคคัญ-สูตรที่พระองค์ตรัสแก่วาเสฏฐสามเณรว่า ตถาคตสฺสเหตํ วาเสฏฺฐาอธิ-         วจนํ  ธมฺมกาโย อิติปิฯ  ในสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย  ปาฏิกวรรค  ยืนยันความว่า  ดูกรวาเสฏฐสามเณร  คำว่าธรรมกายๆ นี้เป็นชื่อตถาคตโดยแท้

            เรื่องพระวักกลิ ดังที่ยกขึ้นมากล่าวข้างต้นนั้น เมื่อระลึกถึงความในอัคคัญญสูตรนี้ประกอบแล้ว ย่อมส่องความให้เห็นว่า ที่พระองค์ตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรานั้น หมายความว่า ผู้ใดเห็นดวงธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกาย  ผู้นั้นได้ชื่อว่าเห็นเรา คือ ตถาคตนั่นเอง  มิใช่อื่นไกล หรือพูดให้เข้าใจง่ายกว่านี้ก็ว่า ผู้ใดเห็นดวงธรรมที่ว่านี้  ผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า หรืออีกอย่างหนึ่งว่า ผู้ใดเห็นธรรมกาย ผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า

            ทำไมจึงหมายความเช่นนั้น  ก็เพราะว่า ขณะนั้น พระวักกลิ ก็อยู่ใกล้ๆ กับพระองค์ หากจะแลดูด้วยลูกตาธรรมดา ทำไมจะไม่เห็นพระองค์  เพราะไม่ปรากฏว่าพระวักกลินั้นตาพิการ เมื่อเช่นนี้ไฉนพระองค์จะตรัสเช่นนั้นเล่า ที่ตรัสเช่นนั้นจึงตีความหมายได้ว่า ที่แลเห็นด้วยตาธรรมดานั้น  เห็นแต่เปลือกของพระองค์  คือกายพระ-สิทธัตถะที่ออกบวช ซึ่งมิได้อยู่ในความหมายแห่งคำว่าเรา และยังตรัสว่าเป็นกายที่เปื่อยเน่าด้วย นั่นคือกายพระสิทธัตถะที่ออกบวช ซึ่งเป็นกายภายนอกนั่นเอง  คำว่าเราในที่นี้จึงสันนิษฐานได้ว่า  หมายถึงกายภายใน  ซึ่งไม่ใช่กายเปื่อยเน่า กายภายในคืออะไรเล่า ก็คือธรรม-กายนั่นเอง  จะเห็นได้อย่างไร ข้อนี้ตอบไม่ยาก เมื่อได้บำเพ็ญกิจถูกส่วนแล้ว  ท่านจะเห็นด้วยตาของท่านเอง  คือเห็นด้วยตาธรรมกาย  ไม่ใช่ตาธรรมดา  พระดำรัสของพระองค์ดังยกขึ้นกล่าวมานั้น  เป็นปัญหาธรรม มีนัยลึกซึ้งอยู่  อันผู้ที่มิได้ปฏิบัติธรรมแล้วเข้าใจได้ยาก  แต่ถ้าผู้ที่ปฏิบัติได้แล้ว  จะตอบปัญหานี้ได้ด้วยตนเองอย่างง่ายดาย  ไม่ต้องไปถามใคร

            ธรรมกาย  มีสีใสเหมือนแก้วจริงๆ จึงได้ชื่อว่าพุทธรัตนะ

            ธรรมทั้งหลายที่กลั่นออกจากหัวใจธรรมกาย จึงได้ชื่อว่า ธรรมรัตนะๆ คือหัวใจธรรมกายนั้นเอง

            ดวงจิตของธรรมกายนั้น ได้ชื่อว่า สังฆรัตนะ นี่แหละที่ว่า พุทธ- รัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ทั้ง ๓ ประการนี้  เกี่ยวเนื่องเป็นอันเดียวนั้น  เกี่ยวกันอย่างนี้ จะพรากจากกันไม่ได้ ผู้ใดเข้าถึงพุทธรัตนะ ก็ได้ชื่อว่า ธรรมรัตนะ  สังฆรัตนะด้วย

            การเข้าถึงรัตนะ ๓ ดังกล่าวมานี้ จะเข้าถึงได้อย่างไร เพียงแต่ เลื่อมใสนับถือ ยังไม่เรียกว่าเข้าถึง แม้จะท่องบ่นน้อมใจระลึกถึงก็ยังไม่เรียกว่าเข้าถึง  แม้จะปฏิญาณตนว่ายอมเป็นข้าก็ยังไม่เรียกว่าเข้าถึง  อย่างมากจะเรียกได้ก็เพียง  ขอถึง

            การที่จะเข้าถึงนั้น จำเป็นจะต้องบำเพ็ญเพียรปฏิบัติเจริญรอยตามปฏิปทาของพระบรมศาสดา จนบรรลุกายธรรม คือรู้จริงเห็นแจ้ง ด้วยตัวของตัวเองจึงจะได้ชื่อว่าเข้าถึงพระรัตนตรัยโดยแท้ และการปฏิบัติเช่นนี้ไม่เป็นการพ้นวิสัยของมนุษย์ เพราะในปัจจุบันนี้ มีผู้ที่ได้บำเพ็ญบรรลุธรรมกายก็มีอยู่มากหลาย ผู้ที่ได้ธรรมกายแล้วเขามีความ อิ่มเอิบ และสุขกายสุขใจเพียงไหน ถามเขาดูได้ เพื่อได้ทราบว่าการเข้าถึงพระรัตนตรัยมีผลอย่างไร ผิดกว่าที่ยังมิได้เข้าถึงอย่างไร ทั้งจะได้รู้ด้วยว่า  ศีล สมาธิ ปัญญา  ซึ่งเป็นหลักคำสอนของพระบรมศาสดา มีความจริงแค่ไหน ศีลเป็นปัจจัยให้เกิดสมาธิ สมาธิเป็นปัจจัยให้เกิดปัญญานั้นอย่างไร ก็จะรู้ความจริงได้ในเมื่อตนบำเพ็ญสำเร็จ หรือถ้าอยากรู้เพียงเงาๆ ก็ลองถามเขาดูได้



เพียรเถิดจะเกิดผล

            ในการบำเพ็ญภาวนา  ความเพียรเป็นข้อสำคัญยิ่ง  ต้องทำเสมอ  ทำเนืองๆ ในทุกอิริยาบถ ไม่ว่านั่ง นอน เดิน ยืน และทำเรื่อยไป  อย่าหยุด อย่าละ อย่าทอดทิ้ง อย่าท้อแท้ มุ่งรุดหน้าเรื่อยไป ผลจะเกิดวันหนึ่ง  ไม่ต้องสงสัย ผลเกิดอย่างไร ท่านรู้ได้ด้วยตัวของท่านเอง

ตนเป็นที่พึ่งของตน

            นี่หมายความว่ากระไร อะไรเป็นตน ตนคืออะไร นามรูปัง      อนัตตา  ก็แปลกันว่านามและรูป ไม่ใช่ตน ถ้ากระนั้นอะไรเล่าจะเป็นตน  ซึ่งจะได้ทำให้เป็นที่พึ่งแก่ตน  รูป เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ  เรียกว่า ขันธ์ ๕ เมื่อย่อเข้าเรียกอย่างสั้นก็เรียกว่า นามรูป โดยเอากองรูปคงไว้  ส่วนกองเวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ  รวมกัน ๔ กองนี้เรียกว่า นาม ฉะนั้นที่ว่านามรูปก็คือ ขันธ์ ๕ นั่นเอง เมื่อขันธ์ ๕ ไม่ใช่ตนจึงต้องถามว่าอะไรเล่าเป็นตน ถ้าค้นหาตนไม่พบก็ไม่รู้ที่ว่าจะทำอะไรให้เป็นที่พึ่งแก่อะไร  พระพุทธวจนะที่มีอยู่ว่า อัตตา หิ อัตตโน นาโถ  ซึ่งแปลว่า ตนเป็นที่พึ่งแก่ตน  จะมิได้มีทางออกหรือ  ย่อมเป็นไปไม่ได้

            ได้เคยกล่าวมาข้างต้นบ้างแล้วว่า  พระองค์ทรงสอน  อนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา  ก็ด้วยพระปรีชาญาณอันสุขุมคัมภีรภาพเพื่อให้คิดค้น  พระองค์เน้นสอนทางอนัตตา ก็เพื่อให้เห็นอัตตาเอาเอง สมในคำ         สัณทิฏฐิโก  ซึ่งแปลว่า ธรรมของพระองค์นั้น  ผู้ที่ปฏิบัติย่อมเห็นเอง   อักขาตาโร  พระองค์เป็นแต่ผู้ทรงบอกแนวทางให้เท่านั้น

            ฉะนั้นเมื่อมีเรื่อง อนัตตา กับ อัตตา ยันกันอยู่จึงต้องคิดค้นต่อไป  ธรรมของพระองค์จะขัดกันเองไม่ได้  เพื่อที่จะไม่ให้ขัดแย้งกัน จึงต้องแบ่งอัตตาออกเป็น ๒ อย่าง คือ อัตตาสมมติกับอัตตาแท้ อัตตาสม-มติได้แก่กายมนุษย์ กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม เพราะกายเหล่านี้ ยังมีเกิด มีตาย เป็นกายส่วนโลกีย์  ยังมีกายอีกกายหนึ่งซึ่งเป็นกายโลกุตตระ คือ ธรรมกาย ธรรมกายนี้แหละเป็นอัตตาแท้หรือตนแท้

            ที่ว่าตนเป็นที่พึ่งแก่ตนนั้น  ก็คือเพ่งยึดอาศัยกันดำเนินเข้าไปเป็นชั้นๆ คือเพ่งกายมนุษย์ส่งให้ถึงกายทิพย์ เพ่งกายทิพย์ส่งให้ถึงกายรูปพรหม  เพ่งกายรูปพรหมส่งให้ถึงกายอรูปพรหม  เพ่งกายอรูป-พรหมส่งให้ถึงธรรมกาย  กายคือตน  อาศัยพึ่งกันเป็นชั้นๆเข้าไปเช่นนี้   จึงได้ชื่อว่าตนเป็นที่พึ่งแก่ตนในด้านภาวนา ตามนัยที่กล่าวไว้แล้วโดยละเอียดข้างต้นนั้น ยังมีคำว่า"กาเย กายานุปัสสี  ในมหาสติปัฏฐาน สูตรเป็นหลักฐานสนับสนุนอีก กายานุปัสสี แปลว่า เห็นตามหรือตามเห็นซึ่งกาย กาเย แปลว่า ในกาย รูปศัพท์มีวิภัตติตรึงอยู่ชัดเช่นนั้น แปลตรงตามศัพท์ และย่นคำให้สั้นก็ว่าตามเห็นกายในกาย คือตามเห็นเรื่อยเข้าไปเป็นชั้นๆ เห็นกายมนุษย์  แล้วตามเข้าไปเห็นกายทิพย์ ตามเข้าไปเห็นกายรูปพรหม ตามเข้าไปเห็นกายอรูปพรหม ตามเข้าไปเห็นกายธรรม ดังนี้เป็นหลักฐานรับสมกันอยู่ กายมนุษย์ รูปร่างหน้าตา อย่างไร กายมนุษย์ รูปร่างหน้าตาก็เป็นมนุษย์ใช่อื่นไกล คือกายเรานี้เอง กายทิพย์ก็เป็นรูปเป็นร่างเช่นกันแต่สวยกว่า กายรูปพรหมสวยกว่างามกว่านั้นอีก กายอรูปพรหมสวยงามยิ่งกว่ากายรูปพรหมขึ้นไปอีก ธรรมกายนั้นมีสีใสเหมือนแก้ว  สัณฐานดังรูปพระพุทธปฏิมากร นั่งสมาธิ เกตุเป็นดอกบัวตูม  ดังได้กล่าวมาแล้ว

การรักษาไตรทวาร

            ไตรทวาร แปลว่า ประตูทั้ง ๓ คือ กาย วาจา ใจ ที่เรียกทวารก็เพราะความชั่วและความดีจะลอดเข้าไปถึงจิตนั้นเข้าทางนี้ ความชั่วเรียกว่า ทุจริต ความดี เรียกว่า สุจริต  วิธีที่จะเข้าไปมีอาการไหวก่อน ซึ่งเขาเรียกว่า วิญญัติ ไหวทางกายเรียกว่า กายวิญญัติ ทางวาจาเรียกว่า วจีวิญญัติ ทางใจเรียกว่า มโนวิญญัติ อะไรทำให้เกิดอาการไหวหรือบังคับให้ไหว ไม่ใช่อื่นไกล สังขารนั่นเอง บังคับให้ไหว  บังคับทางกายได้แก่กายสังขาร  ทางวาจาได้แก่วจีสังขาร ทางใจได้แก่จิตสังขาร สังขารคือความรู้สึกนึกคิดปรุงแต่งและมีทางเกิดเป็น ๒ ทาง ฝ่ายทุจริต  เกิดจากอวิชชาและอาสวะ ฝ่ายสุจริต เกิดจากวิชชาและอนาสวะ ฝ่าย เหตุทุจริตเป็นดวงดำมืดมน ฝ่ายเหตุสุจริตเป็นดวงขาวใส ซ้อนอยู่ในดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ เป็นคู่ปราบกันอยู่  ฝ่ายชั่ว (ดำ) เป็นภาคมาร ฝ่ายดี (ขาว) เป็นภาคพระ  ต่างมีเจ้าของด้วยกัน  ฝ่ายชั่วอำนวยการให้มืด ฝ่ายดีอำนวยการให้สว่าง คล้ายโรงงานทำหมอกควันพวกหนึ่ง  โรงงานทำไฟฟ้าพวกหนึ่ง เมื่อเราไม่คอยระวังฝ่ายชั่วสอดเข้าไปได้  ย่อมเป็นเหตุให้เราตกไปทางชั่ว คือจะทำอะไรก็ทำในทางชั่ว  จะพูดอะไรออกมาก็เป็นทางชั่ว จะคิดทำอะไรก็เป็นไปทางชั่วหมด (อกุศลธรรมบถ ๑๐)

            ถ้าเราคอยระวังรักษาไว้ให้ดี  บำเพ็ญสมาธิให้ดวงขาวใสปรากฏอยู่ในศูนย์กลางกายเสมอ เราจะทำอะไรก็เป็นไปในทางดี พูดอะไรก็พูดไปทางดี  คิดอะไรก็คิดไปทางดี (กุศลกรรมบถ ๑๐)  เพราะฉะนั้นจึงควรบำเพ็ญตนให้เป็นฝ่ายขาวเสมอ เวลาจะตายถ้าปล่อยให้ไปตกอยู่ฝ่ายดำ  เรียกว่า หลงตาย จะไปสู่ทุคติ ถ้าอยู่ในฝ่ายขาว  เรียกว่า ไม่หลงตาย จะไปสู่สุคติแน่แท้ จึงเป็นการจำเป็นอย่างยิ่งที่จะระวังให้อยู่ฝ่ายขาว

            วรัญญัง สะระณัง นัตถิ สิ่งอื่นจะเป็นที่พึ่งของเราได้ไม่มี        พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ๓ รัตนะนี้ เท่านั้น เป็นที่พึ่งอันประเสริฐสูงสุดของเรา

            ด้วยสัจจวาจาภาษิตนี้  ขอความสุขสวัสดีจงมีแต่สาธุชนทั้งหลาย ทั่วกัน





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น