วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2559

ขนฺติโก ภิกฺขุ หนึ่งในสักขีพยาน "วิชชาธรรมกาย"





บุคคลที่จะกล่าวถึงท่านนี้เป็นหนึ่งในสักขีพยานแห่งการ
เข้าถึงธรรมของหลวงปู่ ท่านได้บันทึกเรื่องราวลงในหนังสือนวกะอนุสรณ์
วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๗ เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับผลการ
ปฏิบัติธรรมของท่านในวันบรรพชาอุปสมบท ที่พระอุโบสถวัดปากน้ำ
ภาษีเจริญ ไว้อย่างน่าสนใจ

ขนฺติโก ภิกฺขุ เป็นศิษย์ท่านหนึ่งของหลวงปู่ที่มีประสบการณ์รู้เห็นหนทางพระนิพพาน
โดยมีจุดเริ่มต้นในวันอุปสมบท ณ พระอุโบสถวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
ในขณะที่ท่านกำลังคุกเข่าประนมมือรอหลวงปู่เอาอังสะออกมาสวมให้
แล้วจะได้ออกไปครองผ้านั้น หลวงปู่กล่าวขึ้นว่า
เธอจำได้ไหม ผมที่โกนเมื่อก่อนจะเข้ามาขอบรรพชาน่ะ เคยหยิบจับขึ้นดูบ้างหรือเปล่า
เมื่อท่านตอบว่าจำได้ หลวงปู่ก็ให้ท่านหลับตาน้อมเอาปอยผมนั้นมาไว้ตรงกลางกาย
แล้วให้เอาความคิดความนึก และความจำ ไปจดไว้ที่ตรงกลางกั๊กนั้น
ตอนนั้นท่านสงสัยว่าหลวงปู่ต้องการอะไรหนอ และคิดว่า นั่งหลับตาอยู่อย่างนี้
จะเห็นอะไรได้ แถมท่านั่งคุกเข่าก็ทำให้ท่านเมื่อยเอาการ
เห็นแล้วหรือยังหลวงปู่ถาม ท่านตอบว่า
ยังไม่เห็นอะไรเลยครับหลวงปู่สั่งต่อไปว่า ทำใจของเราให้
หยุด ให้นิ่ง คิดนึกเอาผมของเราให้เกิด ให้เห็น อยู่ตรงกลางกั๊ก (กลางกาย) ซี
พยายามนึก แล้วดูให้ดีจะได้เห็น


ขนฺติโก ภิกฺขุ เล่าว่า
นั่งมานานเท่าใดไม่รู้ตัวปฏิบัติตามคำสั่งของท่านเรื่อย ๆ ไป ทำจิตมิให้วอกแวก...
โอ! ท่านที่เคารพทั้งหลาย เป็นที่น่าประหลาดน่าประหลาดจริง ๆ ข้าพเจ้าได้เริ่มเห็นสิ่งหนึ่งปรากฏขึ้นในความมืดนั้นแล้วอย่างเลือนรางเต็มที แต่แล้วสิ่งนั้นก็ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น ๆ
โดยลำดับ ชัดขึ้นจนสังเกตเห็นได้เหมือนกับการลืมตาเห็นเลยทีเดียว อะไรหรือ เห็นอะไร
ปอยผมน่ะซีท่าน ปอยผมของข้าพเจ้าเอง ปอยผมที่ข้าพเจ้าได้หยิบดู เมื่อทำการโกนศีรษะก่อนเข้ามาบรรพชานั่นเองช่างเป็นการน่าประหลาดอะไรเช่นนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้น
อย่างบอกความรู้สึกไม่ถูกว่าเป็นอย่างไร


ด้วยความตื่นเต้นนี่เอง ทำให้ขนฺติโก ภิกฺขุ รีบกราบเรียนหลวงปู่ว่า
 เห็นแล้ว เห็นแล้วครับผม

นอกจากนี้ท่านยังคิดว่า คราวนี้หลวงปู่คงจะให้ท่านออกไปครองผ้าได้แล้ว
แต่เหตุการณ์ไม่เป็นดังที่คิด เพราะหลวงปู่สั่งให้ท่านดูว่าปลายผมชี้ไปทางไหน
แล้วให้ดูปอยผมต่อไป ต่อมาท่านรู้สึกว่า ตัวเริ่มเบาหวิว ๆ ใจรู้สึกสบายจริง ๆ
สบายจนไม่รู้จะสรรหาคำพูดใดมาพรรณนาได้ ทันใดนั้นปอยผมสีดำ
ก็ค่อย ๆ เลือนหายไป ค่อย ๆ เห็นวงกลมมีแสงเรือง ๆ ขึ้นมาแทนที่
ต่อมาวงกลมวงนี้กลายเป็นดวงใสคล้ายดวงแก้วสุกสว่างดังดวงจันทร์
ความเมื่อยขบต่าง ๆ ที่มีอยู่ไม่ทราบว่าหายไปได้อย่างไร

หลวงปู่ถามว่า ได้เห็นอะไรอีกไหม” 
ท่านตอบว่า
เห็นแสงสว่างเป็นดวงกลมขนาดเท่าลูกมะนาวเขื่อง ๆครับผม
หลวงปู่บอกว่า เอาละ วันนี้พอกันที เธอจงจดจำดวงที่เธอเห็นนี้ไว้ให้ดี หลับตาก็ให้เห็น
ลืมตาก็ให้เห็น ไม่ว่าเวลาใด ๆ ให้เห็นอยู่เสมอ ๆ อย่าให้สูญไปเสีย

ท่านสั่งขณะนั้นประกายตาของท่านแจ่มใสด้วยความพอใจ และกล่าวว่า
ดวงใสนั่นแหละเป็นจุดต้นทางนำเราไปสู่พระนิพพานละ เป็นทางไปของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราเป็นทางถูกทางตรงทางเดียวเท่านั้น ไม่มีทางอื่น จดจำไว้ให้ดี อย่าให้ดับเสียได้นา

จากนั้นหลวงปู่จึงชักเอาอังสะมาสวมศีรษะให้ท่าน แล้วให้ออกไปห่มผ้าหลังพระอุโบสถ
เมื่อท่านเหลือบตาดูนาฬิกา จึงทราบว่าท่านมานั่งอยู่ท่ามกลางหมู่สงฆ์นานถึงหนึ่งชั่วโมงครึ่ง 
ท่านรู้สึกตื้นตันใจเมื่อคิดว่าหลวงปู่ให้เกียรติชี้แนวทางพระนิพพานแก่ท่านถึงขนาดนี้เชียวหรือ 

หลวงปู่ผู้มีวัยชราแล้ว รวมทั้งหมู่สงฆ์ตลอดจนญาติมิตร ต้องมานั่งรอท่านจนเหน็ดเหนื่อย
เมื่อยล้าไปตาม ๆ กัน แต่หลวงปู่มิได้พะวงเรื่องอื่นใดต้องการเพียงให้ท่านได้เห็น
หนทางไปสู่พระนิพพานเท่านั้นระยะเวลาเพียงสั้น ๆ ในการบวชของขนฺติโก ภิกฺขุ

สะท้อนให้เห็นคุณธรรมและความสามารถหลายประการของหลวงปู่
เป็นต้นว่า ท่านมีความรักในการเผยแผ่วิชชาธรรมกายมาก มีความอดทน มีความเมตตากรุณา
ต่อศิษย์มีวิญญาณของความเป็นครูที่แท้จริง มีความสามารถและศิลปะในการสอน
รวมทั้งสามารถหยั่งรู้กำลังบุญบารมีของศิษย์ว่ามีความพร้อมมากน้อยแค่ไหนที่จะบรรลุธรรม

ขนฺติโก ภิกฺขุ มีความสุขและปีติภาคภูมิใจเป็นอย่าง
ยิ่งที่มีหลวงปู่เป็นพระอุปัชฌาย์ ทำให้ท่านรู้วิธีทำใจหยุดใจนิ่ง ได้รู้จักหนทางพระนิพพาน

และได้เป็นหนึ่งในสักขีพยานในการเข้าถึงธรรมของหลวงปู่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น