วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2559

อานุภาพหลวงปู่ : ผจญภัยกลางสายน้ำเชี่ยว



เรื่องของ : แพทย์หญิงณัฐวรรณ พละวุฑิโฒทัย หรือหมอปอ

สะพานข้ามแม่น้ำแควเป็นสิ่งก่อสร้างทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญแห่งหนึ่ง
และมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักของชาวโลก จนกระทั่งมีฝรั่งนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์
ชื่อ
The Bridge over the River Kwai สะพานแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของทางรถไฟสายมรณะ
ที่สร้างขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ โดยแรงงานของเชลยศึกสัมพันธมิตรจำนวนมาก
ที่ญี่ปุ่นเกณฑ์มา ซึ่งส่วนหนึ่งของเส้นทางรถไฟจะต้องผ่านแม่น้ำแควใหญ่ จึงมีการก่อสร้างสะพานแห่งนี้ขึ้น ณ บริเวณตำบลท่ามะขาม อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี
การสร้างสะพาน และทางรถไฟสายนี้เป็นไปด้วยความยากลำบาก
ทำให้เชลยศึกหลายหมื่นคนเสียชีวิตลง  เล่ากันว่า ...
ทางรถไฟสายนี้ใช้แรงงานและชีวิตเชลยศึก ๑ ไม้หมอน ต่อ ๑ ชีวิตเลยทีเดียว

            ปัจจุบัน การรถไฟแห่งประเทศไทยเปิดบริการเดินรถบนเส้นทางสายนี้ทุกวัน
และจัดรถไฟขบวนพิเศษ
สายกรุงเทพฯ-น้ำตก ทุกวันเสาร์-อาทิตย์
และวันหยุด
ราชการ ซึ่งปรากฏว่ามีผู้คนเดินทางไปชมสะพานแห่งนี้เป็นจำนวนมาก
และหนึ่งในจำนวนผู้คนที่เดินทางไป
ชมสะพานข้ามแม่น้ำแคว

             ก็คือ แพทย์หญิงณัฐวรรณ  
พละวุฑิโฒทัย หรือหมอปอ  ซึ่งขณะนั้นรับราชการ
อยู่ที่ 
โรงพยาบาลคำม่วง จ. กาฬสินธุ์
            เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ บรรดา  เจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลคำม่วง
เดินทางไปทัศนศึกษา
สะพานข้ามแม่น้ำแคว ในเวลาประมาณ ๑๗.๓๐ น.
บรรยากาศยามเย็นที่สดชื่นเย็นสบายและทิวทัศน์ที่ สวยงาม มีมนต์เสน่ห์ดึงดูดทำให้เธอ
และเพื่อนหมออีก ๒ 
คน พากันเดินไปชมจนถึงกลางสะพาน เมื่อหมอณัฐวรรณ
มองลงไปใต้สะพาน เธอก็เห็นว่ามีกระแสน้ำที่ถูกปล่อยออกมาจากเขื่อน
ทำให้น้ำในแม่น้ำแควมีระดับสูงขึ้นและ
ไหลเชี่ยวกราก

            ทันใดนั้น พวกเธอก็ได้ยินเสียงหวูดรถไฟดังไล่มาทุกคนจึงรีบหลบเข้าไปตรงจุดพักคนข้างรางรถไฟ เธอกับเพื่อนอีกคนหนึ่งคือหมอณัฐชัยยืนอยู่ด้วยกัน
ตอนนั้นเสียง
หวูดรถไฟดังกระชั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่รถไฟแล่นเฉี่ยว
พวกเธอไป หมอณัฐวรรณรู้สึกว่ามีอะไรมาฟาดที่หัวอย่างแรง ทำให้เธอกับหมอณัฐชัยกระเด็นตกจากสะพานดิ่งลงกระแทกกับพื้นน้ำ

           หมอณัฐวรรณเล่าว่า หลังจากนั้นเธอก็วูบไป รู้สึกเหมือนตกอยู่ในภวังค์อันเลวร้าย
ที่มีมัจจุราชรออยู่เบื้องหน้า เธอรู้สึกว่าตัวเองกำลังจมและพยายามดิ้นรนว่ายน้ำพยุงตัว

          มีคนมาเล่าให้เธอฟังภายหลังว่า พวกชาวบ้าน
ตะโกนโหวกเหวกร้องเรียก
เรือที่เหลืออยู่ลำสุดท้ายบน
ลำน้ำให้เข้ามาช่วยเธอ หัวเรือเข้ามาถึงหมอณัฐชัยก่อน
แต่
โชคร้ายที่กระแสน้ำซัดเขาให้ห่างออกจากเรือและดูดให้จมดิ่งลงไปจนไม่สามารถช่วยได้ ในเวลาเดียวกัน คนขับเรือก็เหลือบเห็นมือของหมอณัฐวรรณที่โผล่ขึ้นมาก่อนจะจมดิ่ง
ตามหมอณัฐชัยลงไป คนขับเรือคว้ามือเธอไว้ทัน แล้วลากขึ้นมาบนเรือได้
และพยายามช่วยให้เธอได้สติเร็วที่สุด
           เมื่อเริ่มรู้สึกตัว เธอจำอะไรไม่ได้เลย งงว่าตัวเองอยู่ที่ไหน มาทำอะไรอยู่ตรงนี้
ทำไมมีผู้คนมุงเต็มไปหมด ต้อง
ใช้เวลาสักครู่กว่าจะเรียกความจำคืนมาได้
พอรู้ตัวก็รีบคลำ
สร้อยที่ห้อยเหรียญหลวงปู่ทันที นึกขอบพระคุณที่หลวงปู่ช่วยคุ้มครอง
หลังจากนั้นก็มีคนนำเธอส่งโรงพยาบาล ส่วน
เพื่อนของเธอที่ตกสะพานไปด้วยกัน หลังจากผ่านการค้นหาเป็นเวลา ๓๖ ชั่วโมง ถึงได้เจอในสภาพที่เป็นศพไปแล้ว

            เหตุการณ์ครั้งนี้ มีแต่คนถามว่าเธอรอดมาได้อย่างไร สำหรับตัวเธอเองคิดว่า
ไม่มีสิ่งอื่นใดที่จะทำให้เธอ
รอดจากความตายกลางสายน้ำเชี่ยวได้
นอกจากหลวงปู่ที่
เธอแขวนเหรียญท่านติดไว้กับตัว เธอเห็นแล้วว่า
เธอกับ
เพื่อนยืนอยู่ติดกัน โดนรถไฟพุ่งเฉี่ยวกระแทกตกลงไปด้วยกัน ณ ตำแหน่งเดียวกัน
จมน้ำห่างกันนิดเดียว เพื่อนตาย
แต่เธอกลับรอดมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ และแทบไม่บาดเจ็บ
อะไรเลย มีแค่หัวโนกับถลอกนิดหน่อย

            ด้วยบุญทั้งหลายที่เธอทำมาตั้งแต่เข้าวัดพระธรรมกาย
จาก ๕ ขวบ จนถึงปัจจุบัน
และบุญที่ทำเนื่องกับหลวงปู่
ผู้เป็นทักขิไณยบุคคลนับครั้งไม่ถ้วน
รวมทั้งมีใจผูกไว้กับ
หลวงปู่ตลอดมา ทำให้ในที่สุดหลวงปู่ก็คุ้มครองเธอให้รอด
ชีวิตเป็นอัศจรรย์ แม้ห้วงน้ำเชี่ยวใต้เส้นทางรถไฟสายมรณะก็ไม่อาจกลืนกินชีวิตของเธอได้

Cr. หนังสือ ยิ่งรู้จัก ยิ่งเคารพรักท่าน 
http://www.kalyanamitra.org/book/index_dhammabook.php


อานุภาพหลวงปู่ : ช่วย “สัมมา อะระหัง” หน่อย






ขณะนี้ แม้หลวงปู่จะละสังขารไปเป็นเวลานานถึง ๕๐ กว่าปีแล้วก็ตาม
แต่ท่านก็เป็นที่พึ่งแก่มหาชนได้ตลอดมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่มีความเคารพรักท่าน

ดังตัวอย่างเรื่องราวที่จะกล่าวถึง ต่อไปนี้

ช่วย “สัมมา อะระหัง” หน่อย
คุณนวรัตน์ อัจนานุบาล, 
ชาวอุตรดิตถ์

ไปวัดพระธรรมกายครั้งแรก ๒๒ เมษายน ๒๕๕๓
ในพิธีรับสไบแก้วของอุบาสิกาแก้วหน่ออ่อน ๕๐๐,๐๐๐ คน
เมื่อจบการอบรม พี่เลี้ยงมอบเหรียญปราบมารให้
เธอนำไปใส่กรอบอย่างดีและใส่ติดตัวตลอดเวลา

            เปรี้ยง!! เสียงดังเหมือนฟ้าผ่าพุ่งเข้าไปกระทบประสาทหูของคุณนวรัตน์
ชั่ววูบนั้นเธอรู้สึกว่า มีอะไรบาง
อย่างพุ่งมากระแทกรถของเธออย่างรุนแรง
พร้อม ๆ กับ
ความรู้สึกของเธอก็ดับลง โดยไม่ทันมีเวลาคิดว่าอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง
          ก่อนประสบอุบัติเหตุ คุณนวรัตน์ อัจนานุบาล บอกกับตัวเองอย่างมีความสุขว่า อีกไม่กี่วันแล้วสินะ ที่เราจะได้ไปนั่งสมาธิที่สวนพนาวัฒน์แต่สุดท้ายเธอต้องไปนอนโรงพยาบาลแทน เพราะขณะที่เธอขับมอเตอร์ไซค์
จะไปเอาชุดขาวที่บ้านคุณแม่ในอำเภอลับแล มีวัยรุ่น ๒ คน ซ้อนมอเตอร์ไซค์กันมา
แล้วซิ่งฝ่าไฟแดงพุ่งมาชนรถ
เธออย่างจัง จนเธอกระเด็นตกจากรถ
หัวกระแทกบาทวิถี
หมดสติ เลือดนองพื้น คอพับ จนใคร ๆ พากันคิดว่า
เธอ
คอหักตายไปแล้ว ไม่นานนักรถป่อเต็กตึ๊งก็มานำร่างของเธอส่งโรงพยาบาลอุตรดิตถ์

ส่วนนักซิ่ง ๒ คน คงตกใจและ
กลัวความผิดจึงหายต๋อมไปเลย
          ช่วงที่หมดสติ คุณนวรัตน์ฝันว่าอยู่ในห้องที่มืดสนิท แล้วอยู่ ๆ ก็มีแสงสว่างเป็นจุดเล็กนิดเดียวปรากฏขึ้น เธอวิ่งไปที่แสงนั้น
เพราะอยากออกจากความมืด ทันใดนั้นมี
เสียงพูดขึ้นว่า จะไปไหนลูกเธอมองไปก็เห็นคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง
แต่กายของท่าน
ใสเหมือนน้ำ เธอตอบคุณยายไปว่า จะไปที่จุดสว่างนั้นค่ะแล้วก็ออกวิ่งต่อไป แต่คุณยายรีบห้ามว่า ไปไม่ได้ลูกมาทางนี้แล้วคุณยายก็กระชากข้อมือข้างซ้ายของเธอ
อย่างแรงจนรู้สึกไปถึงกายเนื้อ เธอจึงได้สติและพบว่าตัวเองอยู่ในห้องไอซียู
ตอนนั้นเธอกำลังสะลึมสะลือ มึน ๆ ยัง
ลืมตาไม่ได้ ซึ่งเป็นอาการที่สมองถูกกระทบกระเทือนจนระบบการสั่งงานเสียไปเมื่อรู้สึกตัว สิ่งแรกที่คุณนวรัตน์นึกถึงก็คือเหรียญ
ปราบมารที่ห้อยอยู่ที่คอ และในขณะที่เธอนอนอยู่นั้น จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงพระสวดมนต์
และมี
เสียงจากข้างในบอกว่า ช่วย สัมมา อะระหังหน่อยเธอจึงทำตาม และตลอดเวลาที่นอนอยู่บนเตียงคนป่วย

           เธอยังคงภาวนา
สัมมา อะระหังไปเรื่อย ๆ และอธิษฐานขอให้หลวงปู่ช่วย
เนื่องจากศีรษะของเธอฟาดพื้นอย่างแรง หมอจึงต้องสแกนสมอง
ผลการตรวจพบว่ามีเลือดคั่งในสมองเยอะ
มาก เธอได้ยินเสียงคุณหมอบอกญาติ ๆ ว่า ต้องผ่าตัดเอาเลือดที่คั่งในสมองออกด่วน แต่หมอไม่รับประกัน
โอกาสรอดมี ๕๐ : ๕๐ ถ้าโชคดีรอดตายก็ต้องเป็นอัมพฤกษ์ให้ญาติทำใจได้เลยตอนนั้น พี่ ๆ น้อง ๆ ของเธอร้องไห้ระงมอยู่ข้างเตียง
ขณะนั้นญาติทุกคนอนุญาตให้หมอผ่าตัดได้ แต่คุณแม่สามีของเธอค้านว่า ไม่ให้ผ่าเพราะเกรงว่าผ่าแล้วจะแย่กว่าเดิม แต่หมอบอกว่า โดยหลักการแพทย์ควรจะผ่า ถ้าตัดสินใจช้าโอกาสรอดก็ยิ่งน้อยลง
คุณนวรัตน์ลืมตาหรือพูดโต้ตอบกับใครไม่ได้ ได้แต่ภาวนา สัมมา อะระหังไปเรื่อย ๆ
และนึกถึงเหรียญ
หลวงปู่ปราบมารอย่างต่อเนื่อง
              อยู่ ๆ ก็เห็นองค์พระใสเหมือนแก้วผุดขึ้นมาแทนเธอมององค์พระ
ที่เห็นในสมาธิไปเรื่อย ๆ ไม่น่าเชื่อว่า วัน
ต่อมาคุณหมอมาสแกนสมองเพื่อหาข้อสรุป
ว่าต้องผ่าตัด
หรือไม่ กลับพบว่าผลสแกนสมองครั้งที่ ๒ ไม่พบเลือดคั่งในสมองเลย

            ในทางการแพทย์ถือว่าเรื่องแบบนี้ไม่ธรรมดา เพราะปกติถ้ามีเลือดคั่งในสมอง
แค่วันสองวันมาสแกน
ใหม่ต้องเจอแน่นอน ทิ้งไว้นานเป็นเดือนก็ยังเจอ
แต่จะ
เห็นว่าเป็นเลือดเก่า แม้ในกรณีที่มีเลือดคั่งน้อยกว่านี้ก็ยังสแกนเจอ
แต่นี่มีเลือดตั้งมากมายคั่งอยู่ในสมอง สแกน
แล้วกลับไม่เห็นเลือด
ไม่รู้หายไปไหนหมด แบบนี้แปลก
ทำให้หมอถึงกับตะลึงงัน
ตรวจผลซ้ำแล้วซ้ำอีก และบอกว่า
เป็นไปได้ยังไง เมื่อวานก็เห็นมีเลือดคั่งอยู่ วันนี้หายไปแล้ว
ตั้งแต่หมอเกิดมาไม่เคยเจอเคสมหัศจรรย์อย่างนี้เลย

หมอหาคำตอบไม่ได้ แต่คุณนวรัตน์หาได้ เธอบอก กับทุกคนว่า ที่รอดมาได้เพราะหลวงปู่วัดปากน้ำช่วยไว้ไม่งั้นเป็นผุยผงไปแล้วและจากที่หมอบอกว่า เธอจะตายหรือไม่ก็ต้องเป็นอัมพฤกษ์ กลายเป็นว่านอนโรงพยาบาล
อีกแค่ ๗ วัน ก็หายเป็นปกติ กลับบ้านได้ ไปทำงานได้
ในช่วงนั้น ข่าวการรอดตายหายป่วยของคุณนวรัตน์แพร่สะพัดไปทั่วโรงพยาบาล
จนมีนักศึกษาแพทย์ฝึกงาน
คนหนึ่งที่แอนตี้วัด ไม่เคยคิดจะไปวัดเลย
ทั้ง ๆ ที่คุณพ่อ
ของเขาก็ชวนไปวัดพระธรรมกายบ่อย ๆ แต่พอเจอเคสนี้
นักศึกษาแพทย์รีบไปวัดกับพ่อเลย เรื่องของคุณนวรัตน์ทำให้ทุกคนที่รู้เรื่อง
ต่าง
อัศจรรย์ใจ เกิดความศรัทธาและเชื่อมั่นในความศักดิ์สิทธิ์
ของพระเดชพระคุณหลวงปู่ พระผู้ปราบมาร ว่าท่านมีอานุภาพ มีความเมตตา
และมีพระคุณกับลูกหลานสุดจะ
ประมาณ แม้ท่านมรณภาพไปแล้ว
หากใครหมั่นระลึกถึง
ท่าน เคารพบูชาท่าน
ท่านก็ยังช่วยเหลือได้เหมือนเมื่อครั้ง
ที่ท่านยังมีชีวิตอยู่

Cr. หนังสือ ยิ่งรู้จัก ยิ่งเคารพรักท่าน 
http://www.kalyanamitra.org/book/index_dhammabook.php

อานุภาพหลวงปู่ : เมื่อหลวงปู่นั่งอยู่ในรถ


ขณะนี้ แม้หลวงปู่จะละสังขารไปเป็นเวลานานถึง ๕๐ กว่าปีแล้วก็ตาม
แต่ท่านก็เป็นที่พึ่งแก่มหาชนได้ตลอดมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่มีความเคารพรักท่าน

ดังตัวอย่างเรื่องราวที่จะกล่าวถึง ต่อไปนี้

เมื่อหลวงปู่นั่งอยู่ในรถ
เรื่องของ : คุณญตินันท์ เที่ยงนิมิตร

            “เดี๋ยวมา รออยู่ที่นี่นะเป็นคำพูดที่คุณญตินันท์ได้ยินจากเพื่อนใหม่
ตอนนั้นเธอไม่นึกเลยว่าเขาไปแล้วจะไปลับ พร้อมทั้งฉกของรักของเธอไปด้วย

            เมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑  คุณญตินันท์ เที่ยงนิมิตร
หรือไอซ์ เดินทางไปร่วมงานหล่อหลวงปู่ทองคำกับคุณแม่และคุณป้าซึ่งไปวัดพระธรรมกายอยู่เป็นประจำคืนก่อนวันงาน คุณแม่บอกกับเธอว่า
พรุ่งนี้แม่จะไปวัดนะ จะไปเอาบุญใหญ่งานหล่อหลวงปู่ แม่คงไป
ต่างจังหวัดกับหนูไม่ได้ เมื่อเธอได้ยินอย่างนั้นก็เลยตอบคุณแม่ไปว่า
ถ้าอย่างนั้นไอซ์ไม่ไปทำงานแล้ว ไปเอาบุญกับแม่ดีกว่า
ด้วยความที่ห่างหายจากวัดไปนาน เมื่อได้เห็นสาธุชน
ในชุดขาวสะอาดตาเป็นแสน ๆ คน บนสภาธรรมกายสากล เธอถึงกับเอ่ยออกมาว่า  
โอ้โฮ! หลวงปู่ท่านคงศักดิ์สิทธิ์มากเลย คนถึงได้มากันเยอะแยะขนาดนี้
พอได้เวลาหล่อหลวงปู่ เธอก็หย่อนมหาสุวรรณนิธิลงในรางทั้งน้ำตา เธอเล่าว่า
บอกไม่ถูก ไม่รู้ทำไมน้ำตาไหลไม่หยุด ขนลุกไปทั้งตัว รู้แต่ว่าปลื้ม ชื่นใจ
ประทับใจไปหมด
            หลังกลับจากงานหล่อหลวงปู่ เวลาประมาณตี ๓ คุณญตินันท์ต้องออกไปทำงานที่ต่างจังหวัดเช่นเคย ปกติ คุณแม่ไปด้วย แต่ครั้งนี้เธอมีเพื่อนใหม่ร่วมเดินทางแทนคุณแม่
ในขณะที่เธอแวะเข้าห้องน้ำ เพื่อนบอกว่า
เดี๋ยวมา รออยู่ที่นี่นะ
เธอรออยู่ตั้งนาน เพื่อนก็ไม่กลับมา พอเปิดกระเป๋าดูจึงรู้ว่ากุญแจรถไม่อยู่แล้ว
คือเพื่อนใหม่เปลี่ยนสถานะเป็นโจรขับรถของเธอไปไหนแล้วก็ไม่รู้
ทิ้งให้เธอนั่งร้องไห้อยู่เป็นนานสองนาน
พอกลับถึงบ้าน เมื่อเล่าเรื่องให้ทุกคนฟัง 

คุณแม่ของเธอก็พูดจาเป็นมงคลสุด ๆ ว่า

มันจะเอารถไปได้ยังไงหลวงปู่ท่านนั่งอยู่ในรถ 

ฟังแล้วกำลังใจมาเป็นกอง แล้วคุณแม่ก็บอกให้เธอนึกถึงหลวงปู่ นั่งสมาธิแล้วอธิษฐานจิต กับหลวงปู่ และยังบอกอีกว่า แม่มั่นใจว่ายังไงก็ต้องได้คืน
จากนั้น ทุกคนก็ช่วยกันอธิษฐานจิต คุณป้า อธิษฐานว่า
ขออานุภาพของหลวงปู่ช่วยให้หลานสาวได้รถคืนภายใน ๒๔ ชั่วโมงด้วยเถิดเจ้าค่ะ

ต่อมา คุณญตินันท์และคุณพ่อคุณแม่ก็เตรียมตัวออกตามหารถ
แต่ตัวแทนบริษัทประกันบอกว่า
ไม่ต้องไปหาแล้ว ไม่ได้คืนหรอก
ที่เขาพูดอย่างนี้เพราะที่ผ่าน ๆ มาสถิติรถหายกับสถิติได้รถคืนไม่สมดุลกันเลย
บางครั้งจับขโมยได้ แต่ไม่มีรถมาคืนให้ เพราะว่าเอาไปขายที่ชายแดนเรียบร้อยแล้ว
แต่คุณญตินันท์กับคุณแม่เชื่อมั่นในอานุภาพของหลวงปู่ จึงยืนยันว่าจะตามหารถต่อไป
 
  
            เชื่อไหมว่า ภายในเวลาไม่ถึง ๒๔ ชั่วโมง ตรงตามที่คุณป้าอธิษฐานไว้
พวกเขาพบรถจอดอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง จึง
โทรศัพท์แจ้งตำรวจทันที
และในทสี่สุดก็ได้รถคืนในเช้าวันรุ่งขึ้น !!
            คิดดูก็น่าแปลก วิสัยโจรเวลาขโมยของไปแล้วจะต้องเอาไปซ่อนไว้
ไม่ให้ใครเห็น แต่นี่กลับเอารถมาจอดไว้ให้คนเห็นง่าย ๆ ไม่เอาอะไรคลุมด้วย
แถมยังมีสิ่งดลใจให้คุณญตินันท์ไปหารถในบริเวณนั้นอีกด้วย
  คุณญตินันท์บอกว่า  
            “
ทันทีที่ได้รถคืน ก็วิ่งเข้าไป กอดรถ น้ำตาไหล แล้วเข้าไปดูของในรถ อัศจรรย์มากของทุกอย่างที่อยู่ตรงรูปหลวงปู่อยู่ครบหมด ไม่มีการเคลื่อนย้ายเลย เหมือนกับขโมยมองไม่เห็น มีทั้งกระเป๋าสตางค์บัตร ATM และเอกสารสำคัญ บอกตรง ๆ เลยว่ายิ่งกว่าถูกรางวัลที่ ๑ อีก นี่ถ้าไม่ได้ไปงานหล่อหลวงปู่ ไม่รู้จะเป็นยังไง

            การที่คุณญตินันท์รถหายแล้วได้คืน นับว่ามีบุญมากเพราะตามปกติรถหายยากที่จะได้คืน ขนาดของเล็ก ๆแบบโทรศัพท์หายยังไม่ค่อยได้คืนเลย แต่กรณีนี้
คุณป้ากับคุณแม่อยู่ในบุญมาตลอด และมีความเคารพรักเชื่อมั่น

ในหลวงปู่อย่างสูงตลอดมา แถมคุณญตินันท์ เจ้าของรถก็เพิ่งไปเติมบุญมาจากวัดด้วยการหล่อหลวงปู่ ซึ่งเป็นบุญใหญ่มาก ๆ และยังหล่อด้วยความปลื้มปีติจนน้ำตาไหลการทำบุญด้วยความปลื้มปีติย่อมจะได้บุญมากเป็นพิเศษมากกว่าไม่ปลื้มหลายเท่า
ยิ่งปลื้มในการหล่อรูปเหมือนหลวงปู่ พระผู้ปราบมาร ผู้เป็นเนื้อนาบุญอันเลิศ
ยิ่งได้บุญมหาศาล ส่งผลให้ได้สมบัติที่หายกลับคืนมาเป็นอัศจรรย์


Cr. หนังสือ ยิ่งรู้จัก ยิ่งเคารพรักท่าน
http://www.kalyanamitra.org/book/index_dhammabook.php